หลายคนเรียกผมว่ายูทูปเปอร์ แต่จริง ๆ แล้วเราคือคนที่ชอบทำวิดีโอแล้ววันนึงมาทำคลิปการเดินทางเท่านั้นเอง ผมเผยแพร่งานของผมในรูปแบบที่เรียกว่าชีวิตการเดินทางของผมเองมากกว่า มันไม่ใช่วิดีโอรีวิวสถานที่ท่องเที่ยว หรือว่ารายการท่องเที่ยว ที่บอกว่าที่นี่ที่ไหน ตรงไหนดีบ้าง มันเป็นลักษณะคล้าย ๆ ไดอารี่ความรู้สึกในช่วงชีวิตนั้นของตัวเองมากกว่า ว่าคน ๆ นี้ไปเที่ยวแล้วรู้สึกเจออะไร คิดอะไรกับตัวเอง ได้อะไรกลับมาบ้าง มันก็เลยจะเป็นวิดีโอที่ไม่ได้เรียกแขกซักเท่าไหร่
ผมนำเสนอในรูปแบบคล้ายกับการทำสารคดีการเดินทางของชีวิตตัวเอง ผมเริ่มออกเดินทาง ด้วยการใช้สถานที่เป็นจุดล่อให้ออกไปพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ และบันทึกช่วงเวลานั้นให้เป็นเรื่องสำคัญในชีวิต บันทึกเรื่องราวเก็บไว้ เผื่อในวันนึงแก่ไปไม่สบาย หรือท้อใจ กลับมาดูก็ได้เห็นช่วงเวลาที่สดใสของชีวิตตัวเองในวัยนั้น เลยไม่คิดว่าจะมีผู้ชมเข้ามาชมมากมายจนเป็นกระแสและทำให้มีผู้ติดตามมากมายจนถึงทุกวันนี้
ช่วยขยายความการใช้ “สถานที่เป็นจุดล่อให้ออกไปพบเรื่องราวต่าง ๆ และบันทึก” หน่อย
สถานที่ท่องเที่ยวมันมีแรงดึงดูดของมันเองอยู่แล้ว ทั้งความสวยงามและความแปลกใหม่ สมมติว่าเราอยากจะมีแฟนสักคนนึง ความสวยงามของเขาก็เป็นจุดนึงที่เราเดินเข้าไปหาก่อน แต่สุดท้ายแล้วถ้าเราคุยกันแล้วไม่โอเค เราก็ไม่สามารถอยู่กับเขาได้นาน เหมือนกันกับการเดินทาง เวลาที่ผมเห็นจุดที่สวย ผมก็เดินไปหาเขาแล้วเรื่องราวตรงนั้นแหละที่มันสำคัญ ผมเลยใช้สถานที่เป็นจุดล่อเพื่อให้ได้ออกเดินทางไปเจอและสะสมเรื่องดี ๆ กลับมา สถานที่ท่องเที่ยวมันจะไม่เหมือนกันคนรัก คนรักมันจะมีได้แค่คนเดียว แต่สถานที่ท่องเที่ยวคนเราสามารถรักได้มั่วซั่วไปหมดเลย เก็บความทรงจำจากทุกที่ ๆ เรารักกลับมา
เวลาที่ต้องถ่ายทำไปพร้อมกับการเดินทาง มันรบกวนเวลาส่วนตัวไหม
สิ่งที่ผมอยากจะทำคือ การได้บันทึกความรู้สึกของตัวเองจริง ๆ และให้ความรู้สึกมันบอกว่าใช่ โดยที่ไม่ต้องสนใจคนอื่น หรืออย่างอื่นมาเกี่ยว สำหรับผมการถ่ายทำก็เป็นแพสชันอย่างนึงของผม ซึ่งมันเป็นแพสชัน 50% ในการออกเดินทางเลยด้วยซ้ำ อีก 50% คือการเดินทางเอง ถ้าถามว่าให้เราเดินทางโดยไม่ถ่ายบันทึกได้ไหม ได้ แต่ความสุขจะลดลงไป 50% นั่นเท่ากับว่าผมจะไปทำไมถ้าไปได้แค่ความสุขครึ่งเดียว ผมอยากมีความสุขได้ 100% ก็เลยต้องถ่ายทำไปด้วย
เราจะรู้ได้ยังไงว่ามันถึงเวลาที่ต้องบอกลาสถานที่นี้แล้ว
เวลาที่ผมได้เจอและพูดคุยกับใครบางคน คนดูจะรู้ตั้งแต่ต้นว่าเราเจอกับเขายังไง ฟังเรื่องราวของเขา ก่อนจะแยกจากกันมียกมือไหว้แล้วขี่มอเตอร์ไซค์จากกัน มันจะเกิดความรู้สึกขึ้นว่า ‘เฮ้ย! ช็อตนี้เหมือนช็อตจบชัด ๆ เลย ต่อจากนี้เราจะไม่ถ่ายอะไรแล้วนะ’ ผมรู้สึกว่านี่มันคือช็อตจบในหนังนี้นา การจบกันอย่างนี้มันโรแมนติกมากเลยเนอะ เหมือนหนังเลย
หลาย ๆ ครั้งเรื่องราวที่เป็นเรื่องจริงตรงหน้ามันจะบอกเองว่า ‘เราจะบันทึกแค่นี้ ถ้าเขาจะขอไลน์ ผมไม่ค่อยอยากให้เขาด้วย เราจะได้ไม่ต้องจำกันอีก’ สำหรับผมมันต้องเรียล ถ้าจะมาสานสัมพันธ์อะไรกันต่อผมไม่เอา เพราะคุณจะอยู่ในหนังของผมเนี่ยแหละ แล้วผมจะดูคุณ ผมจะคิดถึงคุณ และบางทีผมก็จำชื่อคุณไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่พอกลับมาดูในงานแล้วเกิดความคิด ‘อ่อ ป้าเขาชื่อนี้นี่เอง’ อะไรแบบนั้น ผมชอบความโรแมนติกที่เกือบจะลืมเลือน ผมว่าทุกครั้งที่ผมจะแยกจากใคร ผมเหมือนไปขโมยความทรงจำที่มีเขามาเก็บไว้ มันเลยจะโรแมนติกมากถ้ามันถูกอัดไว้แค่นั้น ถ้ามันอยู่ในกรอบของมันแค่นั้น มันเหมือนเวลาที่เราได้ของที่ระลึกสวยงามมาเก็บไว้เพียงไม่กี่ชิ้น
ถ้าเป็นคนรักเราจะได้รับของขวัญกันทุกเทศกาล มันก็จะหมดความหมายลงเรื่อย ๆ ‘ของขวัญปีนี้มารึยัง’ จะกลายเป็นคำทักทายกัน ความโรแมนติกหายไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่สม่ำเสมอกัน ผมคงจะคิดว่า ‘โอ้แฟนเราดีจัง ให้ของเราทุกวันไม่เคยพลาดเลย’ แต่ถามว่าของขวัญชิ้นที่ร้อยกับของขวัญชิ้นที่หนึ่ง ความรู้สึกมันต่างกันคนละโลกอยู่แล้ว ผมอยากจะได้ของขวัญชิ้นที่หนึ่งจากทุกคน แล้วไม่อยากได้ของขวัญชิ้นที่สองจากใครอีกเลย
มุมมองความโรแมนติกที่คุณเบนซ์มีต่อการเดินทางมันเริ่มมาจากไหน
ผมเชื่อว่าทุกคนมีหลากหลายมุมของตัวเอง มุมที่มีอิทธิพลในการทำงานของผมที่สูงอยู่ประมาณนึงคือมุมของครอบครัว พ่อแม่ของผมเขาถือตัวเองว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว ฉะนั้นเขาจะมีอีโก้ หรือวิธีในการสอนลูกที่มีแบบแผนในรูปแบบของเขา ซึ่งมันใช้ได้ดีกับเขา แต่มันใช้ไม่ได้กับเรา เพราะเขาเป็นเหมือนพ่อค้านักธุรกิจ แต่ผมเกิดมาสมองมันคือศิลปะ การที่เราต้องพยายามดำเนินรอยตามชีวิตของเขาในแบบของเขา และความเป็นตัวเราถูกผสมมาด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘คนในครอบครัว’ ความห่วงใยต่าง ๆ ที่เขามีตามมาด้วยอคติ
อคติที่ว่าคือ ‘ฉันเลี้ยงเธอมา ฉันรู้ว่าเธอชอบอะไรไม่ชอบอะไร เธอมีความอดทนเท่าไหร่ ถ้าเธอทำสิ่งนี้ไปเธออาจะเลิกทำก็ได้ เธอมาบอกว่าเธอชอบอันนี้หรอ เดี๋ยวเธอก็เลิกชอบ เพราะว่าฉันเคยเห็นเธอชอบเรื่องนี้แค่สองปีเท่านั้นเอง หรือว่า เธอจะเป็นคนที่ดีได้ยังไงทั้ง ๆ ที่อยู่บ้านเธอยังไม่ล้างจานเลย’ ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไม่ดีนะครับ มันใช้ได้ด้วยกันหมดทั้งกับพี่ชาย คนรัก หรือเพื่อน แต่สำหรับผมคือครอบครัวเป็นหลัก
อคติอาจจะไม่ได้ใช้ในแง่ร้าย ผมว่าความรักมันมาด้วยอคติจำนวนเท่ากับความรัก บางทีเขาเป็นห่วงและรักเรามาก ‘เราจะเข้าไปในที่แบบนั้นได้ยังไง เรายังจุดไฟไม่เป็นเลย ยุงจะกัดไหม’ บางทีมันเป็นแค่อคติของเขาที่เขาวาดไว้ อย่างผมเป็นคนมีเพื่อนเยอะด้วย ผมว่าผมมีความรักเยอะมาก ๆ เลย และความรักเหล่านี้มันก็มีอคติก้อนใหญ่ ๆ ก้อนนึงฉุดรั้งผมและบอกว่าผมเป็นคนยังไง คนอย่างผมทำอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
ต้องบอกไว้ก่อนว่าเมื่อก่อนผมเป็นคนไม่ชอบท่องเที่ยวเลย ผมแค่ชอบแฮงเอาต์และเที่ยวกลางคืน ผมรู้สึกว่าผมหาเงินมาเที่ยวกลางคืนกับเพื่อน ๆ เมาแล้วตื่นมาก็ลืม ๆ แค่นั้น เพื่อนก็จะมองว่าเราเป็นคนแบบนั้น ชอบแบบนั้น เมื่อก่อนถ้าเพื่อนมาชวนไปต่างจังหวัด ผมจะบอกว่า ‘ไม่ไป ไปทำไม เหมือนเปลี่ยนที่กินเหล้าเฉย ๆ’ ซึ่งผมเองรู้สึกว่าผมเป็นคนแบบนั้นเพราะเพื่อนบอกด้วย ‘ไอ้เบนซ์มันไม่ชอบนั่งรถเป็นชั่วโมงมันทำไม่ได้ ให้มานั่งขี่รถมอไซค์เป็นชั่วโมง มันไม่ชอบขี่หรอก’ หรือ ‘ไอ้เบนซ์มันไม่กินของแปลก ไอ้เบนซ์มันจะกินแต่แค่แบบนี้’ จะมีหลายอย่างมากที่เพื่อนพูดและสะท้อนมาเป็นตัวตนของเรา ซึ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดในมะกี้ ตอนนี้ผมทำตรงกันข้ามหมดเลย
แสดงว่าคนที่ไม่รู้จักกันจะไม่มีอคติต่อเราใช่ไหม
สมมติว่าเวลาที่ผมเจอคนไม่รู้จักมาก่อนแล้วนั่งเล่าให้เขาฟังว่า ‘พี่ครับ ผมกะว่าปีหน้าผมอยากเป็นนายก’ เขาจะพูดทำนองว่า ‘เฮ้ย จริงหรอคุณ พยายามเข้านะ แล้วคุณจะทำยังไง’ เขากลับสนใจความคิดของผมโดยที่ไม่สนว่าเป็นไปได้ หรือไม่ได้ เขามองอย่างไม่มีอคติ เขาแค่รู้สึกถึงความมุ่งมั่นของผม
ถ้ามีคนบอกผมว่า ‘เฮ้ย เบนซ์ลองขี่มอไซค์จากที่นี่ไปตรงนี้ดิ ไกลนะแต่มันสวยมากเลย’ ซึ่งเขาแนะนำในสิ่งที่ผมไม่เคยทำและเป็นที่ ๆ ผมไม่เคยไป ผมจะไม่ถามตัวเองด้วยว่าทำไมผมต้องไปหรือไม่ไป เพราะผมรู้สึกว่าผมไม่มีตัวตนที่สะท้อนผ่านอคติของคนรอบข้างที่รักแล้ว ผมแค่คิดว่า ‘อ่อ มันต้องขี่ไปกว่า 100 กิโลเมตรเลยนะ แต่พี่เขาบอกว่าสวย เราก็ต้องลองไป ผมจะไร้กรอบทุกอย่างแล้วเป็นตัวเองได้ทุกแบบที่ทุกคนเล่าให้ผมฟัง ทุกคนหมายถึงคนนอก เขาพูดกับผมโดยไม่ได้คิดว่าผมจะทำได้ไหม ผมมองว่าชีวิตคนข้างนอกที่ไม่รู้จักผม มันเท่ไปหมด ทำให้ผมได้ลองอะไรก็ได้ที่มันไม่มีอคติที่ขึ้นอยู่ว่ากับแค่ชอบหรือไม่ชอบ ผมโยนตัวเองลงไปทำสิ่งนั้นและไม่ให้คนที่รักสะท้อนอะไรมาได้อีก ผมเลยชอบความทรงจำที่ผมจะไม่เพิ่มความรักกับใคร แต่ผมจะเพิ่มแค่แพสชันกับเขาอย่างเดียว
เล่าอคติที่มากับความรักของคนที่บ้านให้ฟังหน่อย
ผมเป็นลูกคนเล็กสุดจากพี่น้องสี่คน ที่บ้านค่อนข้างมีฐานะเพราะทำธุรกิจแต่เขาไม่ได้ซัพพอร์ตผมเลยนะ เพราะผมดื้อออกมาทำงานของตัวเอง ฉะนั้นเขาบอกว่าจะไม่ช่วยอะไรเลยจนกว่าผมจะแพ้ จะได้กลับไปเป็นลูกในบ้านเหมือนที่เขาวางไว้ให้
ผมเรียนจบนิเทศศิลป์/ ศิลปกรรมเกี่ยวกับงานโปรดักชัน แล้วเริ่มทำงานจากการรับถ่ายรูปงานปริญญา งานแต่ง เพราะมันเป็นงานที่สามารถรับฟรีแลนซ์ได้ ซึ่งในยุคนั้นการเป็นฟรีแลนซ์มันดูจะเวิร์กเพราะเริ่มมีกระแสการเป็นเจ้านายตัวเอง ไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร ช่วงแรกนี่จนเลยนะ ต้องเช่าหออยู่เองทำงานได้ 5,000 บาท ต้องกินมาม่าบ้าง เพราะจ่ายแค่ค่าห้องไปก็ 4,000 บาทแล้ว
ผมดื้อแต่ก็พยายามอยากจะสู้ชีวิตด้วยตัวเองว่าเรียนจบแล้วต้องหาเงินได้ด้วยตัวเองสิวะ เพราะพี่ ๆ ทุกคนอยู่กับที่บ้านหมด และรับช่วงต่อธุรกิจทั้งหมดเลย ผมถือว่าไม่ต้องมีผมก็ได้ แต่พ่อแม่ก็เป็นห่วงอยากให้ลูกได้สิ่งที่ดี
ทำไมถึงเลือกทางที่ต้องออกมาทำอะไรเอง
ผมจะได้ยินพ่อแม่คุยโม้มาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าเขาสู้ชีวิตมาก เริ่มต้นจากศูนย์ เขาจะบอกว่าพวกเราโชคดีที่พ่อแม่มีฐานะช่วยพวกเราได้ ซึ่งผมจะมีทิฐินี้ตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าเดี๋ยวพอผมโตขึ้น ผมจะเริ่มศูนย์ให้ดูว่าผมไม่ได้โชคดีและจะเก่งกว่าเขาให้ดูว่าทำยังไง อย่ามาบอกว่าอายุมากกว่า หรือเคยทำสิ่งนี้ได้แล้วผมจะทำไม่ได้ ผมว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลยยอมจนทำงานลำบากลำบน
ในบางทีที่ผมไม่ไหวก็มีไปยืมตังค์พ่อตังค์แม่บ้าง เขาก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น แค่เขาไม่ได้สนับสนุน เด็กบางคนพ่อแม่เขาอาจจะซื้อคอมซื้อกล้องให้ไปทำทุน แต่ผมต้องเก็บตังค์ซื้อเองหมดจากการทำงานมาเรื่อย ๆ ตลอดเวลา 7-8 ปี
จนวันนึงได้เปิดออฟฟิศเป็นของตัวเองเป็นบริษัทโปรดักชันเล็ก ๆ ในจังหวัดชลบุรี บางเดือนหาได้เป็นแสนก็มี ผมเองไม่ได้มีภาระอะไร ไม่ต้องเอาเงินไปให้พ่อแม่ ไม่ต้องเอาเงินไปเลี้ยงชีวิตใคร ในตอนนั้นผมคิดว่าผมเดินทางมาในช่วงชีวิตที่ไม่ใช่แค่ว่าเลี้ยงตัวเองแล้ว แต่ทำงานหาเงินได้ มีความสุข มีเวลาเป็นของตัวเอง มันเหมือนแบบเล่นเกมนี้จบแล้ว เล่นชนะแล้ว ตัวผมเองไม่ได้มีจุดที่อยากจะเป็นคนรวยตั้งแต่ต้นด้วยมันเลยไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไร แต่ว่าแค่เดินมาตามสายอาชีพของตัวเอง ด้วยการเดินไปเรื่อย ๆ และขยันเท่านั้นเองเลยได้เงินมา
ทั้ง ๆ ที่เราหาเงินได้เยอะ ทำไมถึงไม่อยากเป็นคนรวย
ได้เงินมาแต่มันเซ็งมาก รู้สึกว่าอะไรเนี่ยวะเบนซ์ เหมือนเดินผิดรึเปล่าเนี่ย เป็นอะไรเนี่ย ชีวิตมันดีขึ้น พ่อแม่เริ่มภูมิใจมากขึ้นแล้วและเริ่มเชื่อในตัวผมแล้ว แต่ผมเองกลับรู้สึกว่าเหมือนผมติดกับดักตัวเอง เหมือนว่าผมจะตั้งโจทย์ไว้เล็กเกินไป แค่จะเลี้ยงดูตัวเองให้ได้ แต่หลังจากนั้นไม่ได้ตั้งไว้ว่าจะเอาทำยังไงต่อ เหมือนสิ่งที่มันเริ่มหายไป ก็คงเป็นความอาร์ตที่มีอยู่ในตัวของตัวเองและการพบปะผู้คน
เวลาคนที่มาจ้างงานด้วยราคาแพงมากก็จะมีทรง เป็นคนรวย คนหรู เขาจะคุยอีกแบบนึง ซึ่งผมเป็นคนบ้าน ๆ พอได้มาเจอคนเหล่านี้ ‘พี่อยากได้แบบโน้นแบบนี้’ ผมเริ่มเบื่อ เวลาที่ผมเสนอไอเดียที่มันแปลกประหลาดเขาก็ไม่กล้าทำ เขาจะบอกมันไม่ High อะไรแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งในช่วงแรกของการทำงานผมเจอคนแบบนี้น้อยมาก ผมเบื่อโลกที่มันดูเสแสร้งแต่จริง ๆ อยากได้สิ่งเดียวกัน ผมเบื่อคนกลุ่มนี้มาก ๆ ครับ กลุ่มที่มีเงินแต่ไม่รับฟังไอเดียใหม่ ๆ ยิ่งเริ่มมีคอนเนกชั่นที่สูงขึ้นก็เจอคนกลุ่มนี้มากขึ้น ผมรู้สึกว่าอยู่กับคนบ้าน ๆ มันมีความสุขกว่า
นาน ๆ เข้าก็เรียกการทำงานแบบนี้เหมือนการสับไก่ หมายถึงการที่เขาสั่งมาแล้วผมแค่สับ ๆ แต่ไม่จัดจานแล้ว ไม่ภูมิใจกับผลงานของตัวเองแล้ว แค่ทำตามไอเดียออกมาเท่านั้นเอง ซึ่งมันอาจจะดีก็ได้ แต่ผมไม่ชอบเลย เชยระเบิดอะ แย่จัง จนผมรู้สึกว่ามาอยู่จุดนี้ได้ไงนะ วัน ๆ รับแต่โทรศัพท์ลูกค้า ฟังดูมันน่าจะเป็นเรื่องดีที่ได้รับโทรศัพท์ลูกค้านะ แต่มันกลายเป็นคำที่เราเบื่อมาก ๆ ‘มีลูกค้ามาใหม่’ หรือ ‘ลูกค้ามาอีกแล้ว’ ผมต้องมาคอยรับโทรศัพท์คนเหล่านี้ แล้วทำสิ่งบันเทิงสนองคนเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้คนเหล่านี้โยนเงินมาให้ผมไปสนุกซะแล้วพูดว่า ‘ทำตามผมหน่อย’ ผมรู้สึกว่าไม่ได้แล้วว่ะ สู้ได้เงินน้อย ๆ แต่ทำแล้วคนที่ได้รับมีรอยยิ้ม มีคุณค่า เวลาที่เสนออะไรไปใหม่ให้แล้วเขาบอก ‘เฮ้ย มีแบบนี้มีด้วยหรอ’ ผมอยากจะสนุกกับมันมากกว่านี้ อยากจะเลือกได้เงินน้อยสักครึ่งนึงได้ไหมแล้วได้ความรู้สึกนี้
เริ่มมองหาอะไรต่อจากนั้น
ด้วยความที่ผมเรียนฟิล์มมา ผมจะชอบพูดกับตัวเองว่าถ้ามีเวลาว่างและไม่มีลูกค้า อยากทำหนังจริง ๆ จัง ๆ กับเพื่อน หรือว่าทำเองก็ได้ ซึ่งพูดแบบนี้มาแปดปีแล้วแต่ก็ไม่ได้ทำเพราะมีงานเข้ามาตลอด แล้วผมเป็นคนขยันไม่ขี้เกียจ งานหนักหรือเบาผมรับหมด ผมจะไม่หยุดงานเพื่อมาทำหนังตัวเองเดือนนึงอะไรแบบนั้น ผมรู้สึกว่าถ้ามีงานต้องรับเพราะผมมองตัวเองเป็นมืออาชีพ ถึงเป็นฟรีแลนซ์ก็ต้องมีจรรยาบรรณกับตัวเองว่าต้องรับตลอดนะ เพราะผมไม่รู้ว่าเลยตอนไหนจะไม่มีงาน แต่ผมว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะที่จะเลิกทำอะไรแบบนั้น
ผมถ่ายงานเซตมาเยอะแล้ว ผมอยากจะได้เรื่องราวบางอย่างที่เป็นชีวิตของคน ๆ นึงที่มันจริง ผมเลยเริ่มคิดว่าหนึ่งสิ่งที่เราจะมีความสุขเนี่ยมันจะต้องเป็นอะไรก่อน ผมเลยคิดได้ว่าอย่างแรกผมต้องปิดโทรศัพท์เนี่ยแหละ การไม่ต้องรับโทรศัพท์อะไรพวกนี้ ผมก็จะไม่ต้องเจอคนที่อยากจ้างงานเพิ่มที่อยากแก้งานอะไรต่าง ๆ อย่างที่สองผมอยากออกเดินทางไปในที่ ๆ ผมไม่รู้จัก หรือได้ทำสิ่งที่ไม่เคยทำบ้าง สามคือผมอยากบันทึกเรื่องราวการเดินทางเหล่านั้นไปด้วย
มันดูจะเวิร์กได้เพราะผมจะได้ถ่ายสิ่งที่อยากถ่าย ได้ถือกล้องแล้วพิสูจน์ความเชื่อตัวเองว่ามันต้องดีสิ มันต้องดีในฐานะงานชิ้นนึงที่พอเห็นมันปุ๊บคิดได้ว่า ‘เฮ้ย ดีจังเลย’ จากนั้นจะมีคนเข้าใจแค่ห้าหกคนก็ไม่เป็นไร แต่มันต้องเป็นชิ้นงานที่ตัวผมภูมิใจ อย่างช่วงที่ทำงานผมไม่ภูมิใจกับชิ้นงานที่ส่งลูกค้าเลย ผมจะอยากได้ชิ้นงานที่ภูมิใจแล้วไม่ต้องคิดเรื่องหาเงินก็ได้ เพราะผมรู้วิธีหาเงินแล้ว ชีวิตผมได้เรียนจบปริญญาตรีด้านหาเงินแล้ว ผมอยากเรียนรู้อย่างอื่นแล้ว ผมเลยปิดมือถือและออกเดินทาง
เหตุผลอะไรที่เลือกการเดินทางเป็นการเรียนรู้ใหม่สำหรับตัวเอง
เคยได้ยินแม่พูดตั้งแต่เด็ก ๆ ว่ารถไฟมันดีไม่ดียังไงบ้าง แต่ไม่เคยได้ลองด้วยตัวเอง เลยโยนตัวเองเข้าไปในรถไฟและเดินทางไปยังกาญจนบุรี ผมเริ่มที่จะละลายพฤติกรรมตัวเองไปเรื่อย ๆ ผ่านการถ่ายทำ เห็นอะไรที่สวยก็ยกกล้องขึ้นมาถ่าย อันไหนไม่ชอบก็ไม่ถ่าย ซึ่งตอนนั้นเหมือนบันทึกภาพเรื่อย ๆ ไม่ได้มีแผนกลับมาจะไปพากย์เสียงยังไง ตัดต่อยังไง แค่คิดว่าของจริง อารมณ์จริง คนจริง ฟินจริง มันต้องดี
พอได้ทำมันออกมาเป็นคลิปมันทำให้ผมเห็นถึงความรู้สึกอัดอั้นที่มีอยู่เพียบในตัวเองที่มีต่อการเดินทาง ความเก็บกดอะไรบางอย่างที่มันอยู่ในชีวิตที่มันน่าเบื่อ ผมเลยพูดออกไปในคลิปว่า ‘บางทีเราไปเจอเรื่องแบบนี้ก็ได้นำมาก็ปรับใช้ในชีวิตแบบนี้ได้ด้วยเนอะ’ หรือ ‘เออเมื่อก่อนมันเคยคิดมองโลกแบบนี้ แต่ว่ามันไม่เวิร์กเลย แล้วทุกวันนี้เรามองแบบนี้แล้วนะ’ เริ่มเห็นสิ่งใหม่ ๆ ในตัวเองและเริ่มรู้สึกว่าเรายังต้องเพิ่มอะไรเข้าไปในตัวเองบ้าง กลายเป็นวิดีโอที่ไม่ได้พูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวมาก แต่พูดถึงจิตใจของผมที่ค่อย ๆ ซ่อมตัวเองไปเรื่อย ๆ พอซ่อมจนหายดีแล้วก็เริ่มแชร์
ได้กลับไปดูคลิปตัวเองบ้างไหม
กฎของผมคือจะกลับไปดูแค่ตอนสิ้นหวังหรือตอนแก่ติดเตียง แต่บางทีจะมีคนส่งคลิปเดิมมา ก็กลับไปดูบ้าง มันก็เป็นสิ่งที่ผมได้คิดไว้แล้วนะ ว่าอยากกลับไปดูตัวเองในช่วงเวลานั้น แล้วรู้สึกว่าโง่เง่าสิ้นดี หรือคิดว่า ‘อ่อ พูดเรื่องนี้มันกำลังคิดเรื่องนี้อยู่หรอ มันมีปมเรื่องนี้อยู่หรอวะ’ เมื่อก่อนเวลาผมได้ยินคนพูดถึงอดีตมักจะได้ยินคำพูดนึงว่า ‘ตอนนั้นไม่รู้คิดอะไรอยู่นะถึงทำแบบนี้’ ซึ่งผมรู้สึกว่าผมจะบันทึกเรื่องราวของตัวเองและความคิดของตัวเองลงไป เพื่อที่ผมจะได้รู้ว่าตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่ มันไม่มีถูกหรือผิด มันเป็นแค่ความคิดของคนหนุ่มคนนึงซึ่งไม่ได้รู้จักโลกดีพอ แล้วก็มองโลกในแบบนี้อยู่ตอนนั้น
ผมไม่ได้เอาคำคมมาสอนคนนะ ผมไม่ใช่ไลฟ์โค้ช แต่บางทีคนก็ตีความไปเป็นอีกอย่าง ผมแค่อยากจะพูดว่าช่วงนั้นผมเป็นเด็กโง่ยังไง หรือตอนที่ผมเป็นคนแก่สิ้นหวังแล้วได้ฟังตัวเองตอนหนุ่ม แล้วคิดได้ว่า ‘ตอนหนุ่มเรายังคิดแบบนี้ได้เลย แล้วทำไมตอนนี้ไม่มีกำลังใจละ’
ถ้าผมบันทึกตอนเที่ยวไปเฉย ๆ เท่ ๆ มันก็จะเป็นแค่คลิปวิดีโอว่า ‘เราไปที่นี่เราดูแข็งแรงดีเนอะเดินเหินได้ดี’ แต่สำหรับคลิปของผม ช่วงนั้นตอนนั้น ทะเลาะกับแม่แน่เลย เลยพูดแบบนี้รู้เลย พอผมได้พูดถึงปมว่าผมรู้สึกแบบนั้น มันยิ่งตั้งคำถามไปถึงตอนนั้นว่า ‘อ่อ แล้วเราไปเคลียร์กับแม่เรายังไงวะตอนนั้น’ มันก็จะกลมขึ้นและมีความหมายมากขึ้น
ผมใช้คลิปพวกนี้เป็นสื่อนำไฟฟ้าสถิตจากจุดนึงไปยังอีกจุดนึงเหมือนกัน มันมีความหมายกับผมแบบนั้นและมันใช้ได้กับผมคนเดียว เพราะผมรู้อยู่คนเดียวว่าพูดอะไรออกมา แต่บางทีมันดันมีบางประโยคที่จะสะท้อนให้คนที่เข้ามาดู ตีความไปในเรื่องราวของเขาได้ด้วยที่ทำให้ทุกคนชอบดู คงเป็นเพราะเขาอาจจะเคยเจอปัญหาคล้าย ๆ กันแล้วผมดันพูดเรื่องนี้มาพอดี ผมก็เอามันไว้ใช้แบบนั้นเหมือนกัน เป็นยาของตัวเราในอนาคต
ทำไมถึงกล้าที่จะเผยแพร่อะไรที่ดูจะส่วนตัวมาก ๆ
ไม่ยากเลยครับ เพราะสุดท้ายตัวงานเองมันก็เป็นผลงานชิ้นนึง แล้วอีกครึ่งนึงของผมคือมนุษย์โปรดักชัน อย่างสิ่งที่ผมสร้างตอนนั้นในจุดเริ่มต้นมันเหมือนกับผมวาดภาพแอ็บสแตรกต์ แต่ผมไม่ได้ไปลงประกาศขาย ผมห้อยมันไว้ในบ้าน แล้วผมก็วาดไปทีละภาพ ห้อยไว้ในบ้านเต็มไปหมด แล้วถ้าใครอยากดูมาดูได้เลย แต่อย่ามาบอกให้ผมวาดภาพแบบเดิม อย่าให้ผมทำอะไรแบบนั้นอีก ‘อยากจะได้ภาพแอ็บสแตรกต์แบบคุณเลย’ หรือ ‘อยากได้แบบเท่ ๆ แบบเนี้ย วาดเป็นหน้าผมทีได้ไหม’ ผมไม่ได้รับจ้างแบบนั้น ถ้าคุณอยากซื้อก็ซื้อไป แต่ผมไม่ได้ง้อใคร ผมรู้สึกมีความสุขกับภาพพวกนี้ซึ่งใครจะตีความออกมาเป็นอะไรก็ได้ แต่ผมรู้ว่า แอ็บสแตรกต์ของผมคืออะไร ถ้ามันจะมีความหมายกับใครผมก็ยินดี
ฉะนั้นตั้งแต่คลิปแรกที่ผมโพส ผมก็คิดเลยว่าจะทำยังไงที่จะเก็บงานพวกนี้ไว้ให้ไฟล์มันไม่หาย ก็เลยรีบโพสไว้ก่อนเลย สร้างเพจสร้างช่องขึ้นมา แล้วก็อีกอย่างนึง ผมยังเป็นมนุษย์ที่ต้องการยอมรับเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้เท่ขนาดที่ว่าไม่อยากให้ใครเห็นเลย ผมยังอยากจะเอาคลิปวิดีโอพวกนี้แชร์ในหน้าเฟสตัวเองและจะพิมพ์ตื้น ๆ กับเพื่อนในเฟซบุ๊กของผมว่า ‘ไปเที่ยวคนเดียวมา พูดคนเดียวด้วย’ ก็เล่นมุขไป ไม่ได้ซีเรียสอะไร มันเป็นชิ้นงานที่มีความหมายและผมภูมิใจอยากให้เพื่อนได้เห็นว่า ‘เฮ้ย ถ่ายสวยดีนะ’ ซึ่งก็ไม่คิดว่ามันจะมีการแชร์จนดังขึ้นมา
คิดว่าจะทำ Gaijin Trip ไปเรื่อย ๆ ไหม
ถ้าถามเวลานี้ถ้าผมทำแล้วยังมีความสุขอยู่ผมก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก่อน แต่จริง ๆ แล้วผมรู้ว่าสันดานดิบลึก ๆ ตัวเอง ไม่ใช่แค่ตัวเองแต่คือมนุษย์ทุกคน เราทุกคนล้วนอยากจะเข็นหินไปบนภูเขาสูง ๆ แล้วก็ปล่อยมันลงมาแล้วก็เข็นใหม่ (หัวเราะ) ผมมองว่ามันเป็นสันดานดิบของมนุษย์ที่อยากจะทำอะไรที่ท้าทายและสนุกสนานกับมัน หาสิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา
ผมมองว่าคนเราเปลี่ยนทุกปีหรือทุกวันอยู่แล้ว ในเวลานี้ผมสนุกกับสิ่งนี้อยู่มาก ๆ และเชื่อว่าวันนึงผมก็คงต้องเลิกทำมัน เพราะผมไม่ได้เห็นอะไรในมันอีกแล้ว ช่วงแรกที่ผมทำงานหลังเรียนจบช่วงนั้นก็ชอบดื่มกับเพื่อนมาก ๆ ผมหาเงินมาเพื่อดื่มกับเพื่อนล้วน ๆ 100% เพราะรู้สึกว่านี่คือความสุขที่สุดของชีวิตผมตอนนั้นนะ ผมตีกรอบให้ตัวเองและทำมันมาเป็นสิบปีกับเพื่อน สนุกมากเมาถึงเช้าตื่นเที่ยง จนกระทั่งอยู่มาวันนึงก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดแปลกไป เพื่อนคนเดิม ร้านเดิม บรรยากาศเดิม แต่มาวันนึงมันก็ไม่สนุกขึ้นมา ผมก็รู้สึกนี่มันอะไรกัน หรือว่าเพื่อนนิสัยไม่ดี ร้านมันไม่ดีหรืออะไร ก็หาเหตุผลให้กับมันไม่ได้ ไม่รู้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ผมมาค้นพบตอนหลังว่ามันมีวันหมดอายุของมัน ไอ้ความสุขของแต่ละชนิดที่เราชอบ ที่ไม่เคยคิดว่ามันจะหมดความสุขไปได้เลย จนวันนึงผมได้มาเจอการเดินทางแล้วยึดกอดมันไว้เป็นความสุขใหม่ของผม
สิ่งนี้ทำให้ผมมีประสบการณ์แล้วว่ามันไม่มีอะไรจีรังนะ วันนึงกินเหล้ามันยังหายไปจากเราได้ วันนึงการเดินทางถ้าผมไปยืนอยู่จุดนึง ผมอาจจะรู้สึกว่าเรามาทำไมวะ แล้วถ้าวันนั้นมาถึงผมคงกระโดดไปกอดอย่างอื่นต่อ โดยไม่ต้องมาอาลัยอาวรณ์กับสิ่งนี้อีก เพราะอะไรที่มันผ่านไปมันก็คงกลับมาไม่ได้แล้ว วันนึงผมอาจจะมองว่าสิ่งแปลกใหม่นี้มันทำไมวะ ขึ้นอยู่กับว่าเวลานั้นผมจะหมดกับอะไรแล้วเราผมไปต่อกับอะไรครับ
ช่วยแนะนำสำหรับคนที่กำลังตามหาแพสชัน
ผมว่าบางคนชอบอะไรบางอย่างและไม่มีโอกาสทำ อาจจะด้วยเพราะการเงิน สถานะทางสังคมหรือว่าครอบครัวไม่สนับสนุนอะไรก็ตามแต่ ผมรู้สึกว่าให้มองเรื่องที่สำคัญที่สุดของชีวิตตัวเองไว้ก่อน ซึ่งคือเวลา เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้วถ้าเราใส่ใจกับชีวิต เพราะทุกคนมีสิ่งนี้เท่ากันหมดเลย เป็นเรื่องที่ไม่โกงที่สุดในชีวิตที่ผมมองนะ
เราจะมัวตอบสนองความต้องการจากใครที่อยากให้เราเป็นอะไรสักอย่าง มันไม่ได้หรอก เพราะวันนึงคนเหล่านั้นก็ต้องจากไป เราจะแบกตัวตนจากสิ่งที่คนอื่นพยายามจะสร้างเราทำไม เราต้องถามตัวเองก่อนว่าเราชอบที่จะฟังคนนั้นจริง ๆ รึเปล่า หรือเราชอบในแบบของเรา เราอาจจะไม่รู้วิธีสร้างมันเลยก็ได้นะ แต่ก็ต้องพยายามดู ต้องลองหาทางที่จะไป และอย่าตกเป็นทาส เช่นทำอันนี้ก่อนแล้วกันมันได้เงินเยอะ เพราะในท้ายสุดคนเราก็เจอโจทย์ใหม่ในตอนท้ายอยู่ดีว่า ‘เฮ้ย เราทำอะไรอยู่วะ และในที่สุดเราก็แก่ซะแล้ว’
บางทีพ่อแม่ก็เป็นเหมือนกัน เขาขยันมากเกินมนุษย์แล้วพอเขารู้ตัวอีกทีตอนอายุ 70 กว่า ว่าเขายังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ก้มหน้าไปเก็บเงินแล้วอยู่ดี ๆ เงยหน้าเขาแก่แล้ว แล้วเขาก็ไม่เหลือเวลาที่จะทำในสิ่งที่เขาอยากทำมันก็หายไปหมดแล้ว ผมว่าเวลามันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าเราต้องติดอยู่ในกรงของใครที่เราดันสร้างมันขึ้นมาเองจากคำพูดของพวกเขา ก็จงออกมาเถอะและไปสร้างในสิ่งในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ถ้าสร้างสิ่งนั้นมาแล้วมันยังไม่ใช่ ก็แค่สร้างใหม่ไปเรื่อย ๆ แต่อย่าสร้างในสิ่งที่คนอื่นบอกเรา
เหตุการณ์อะไรที่สร้างบทเรียนที่ดีให้กับตัวเอง
อย่างเมื่อก่อนผมจะบ้าระห่ำกับการเดินทาง ผมรู้สึกเหมือนผมมีเทพอยู่องค์นึงลอยอยู่ข้าง ๆ แล้วไม่ว่าผมจะเจอสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน เทพองค์นี้ก็จะเข้ามาช่วยเสมอ แต่พอวันที่ตกผาแล้วขาหัก ผมก็เพิ่งรู้ว่าความจริงแล้วผมไม่มีเทพองค์นี้นี่นา หรือว่ามีแล้วเขาไม่อยู่ แล้วเขาก็ไม่อยู่อีกเลย ผมเลยกลายเป็นคนที่อาจจะโชคร้ายไปตลอดชีวิต ผมบอกกับตัวเองว่า ‘เฮ้ย ตอนนี้เทพองค์นี้ไม่อยู่แล้วนะ จะทำอะไรก็ต้องระวังมากกว่าเดิมนะ ไม่งั้นจะไม่มีใครช่วยแล้วนะ’
ต้องให้เกิดเหตุกับตัวเองก่อนถึงจะรู้ตัวว่าเราอาจจะไม่ใช่คนที่โชคดีที่สุดแล้วนะ เพราะเมื่อก่อนคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคดี เรื่องนี้ก็กลายเป็นบทเรียนที่ต้องปรับจากตัวเองให้ดีขึ้น ก่อนหน้านี้โดนเตือนมาเป็นร้อยเป็นพันมันก็ไม่เข้าหูครับ แต่พอเจอกับตัวเองผลเสียมันมากกว่า เริ่มรู้สึกว่าต้องดูแลตัวเองต่างจากเมื่อก่อนไม่เคยกลัว ไม่กลัวจริง ๆ เจองูเจออะไรก็ไม่กลัวเลย บางทีก็ควรกลัวบ้าง อย่างตอนไปปีนเขาที่หิมาลัยหนาวมาก คือถ้าหยุดเดินแค่ 1 ชม. คงแข็งตายแล้ว แต่ก็ยังเดินปีน เดินปีน กลิ้งตกแล้วก็ปีน ตอนนั้นถ้าเกิดขาหักหรือเท้าพลิกตรงนั้นคือก็ตายทันที แต่ก็ไม่กลัวเพราะผมรู้สึกว่าผมเป็นพระเอกของหนังตัวเอง แล้วพระเอกมันไม่น่าตาย เพราะมันต้องเล่นไปถึงตอนจบให้คนดูก่อนมันสปอยล์ ยังไงมันก็ต้องรอด จะมาตายได้ไงหนังมันยังไม่จบเลย อินมากไปหน่อย จนลืมเรื่องความปลอดภัยไปเลย ผมโชคดีมาก เพราะถ้าผมไปขาหักตอนอยู่ที่หิมาลัยก็คงเสียชีวิตแล้ว
มีเรื่องอะไรที่คนอื่นยังไม่รู้แต่คุณเบนซ์อยากเล่าให้ฟัง
ผมเรียนได้ที่โหล่ติดศูนย์ 8 วิชาแถมอยู่ห้องบ๊วยอีก ตอนเรียนมันไม่ค่อยสนุก และคิดว่าโดดเรียนมันเท่ จนผ่านมาเริ่มเติบโตก็เริ่มสังเกตเห็นว่าความจริงแล้ว ผมชอบแต่งเรียงความแล้วได้รางวัลบ่อย ๆ ผมก็จะเอารางวัลนี้ไปอวดแม่ก่อนที่แม่จะเห็นผลสอบว่าได้ศูนย์ 8 ตัว เลยดูมีแววอยู่ลึก ๆ ว่าผมเป็นคนช่างฝัน สมมติว่าเห็นภาพ ๆ นึงแล้วให้เล่าเรื่องผ่านภาพนี้ผมก็จะเขียนไปเรื่อย ๆ ไปไกลถึงดาวอังคารเลย ซึ่งจริง ๆ ผมเพิ่งคิดได้เมื่อไม่กี่วันมานี้เองว่าทำไมผมถึงถนัดอันนี้ เลยได้มาเล่าพอดี แล้วมันดันไม่มีวิชามาตีกรอบว่าสิ่งนี้คือวิชาที่เบนซ์เก่ง เพราะมันดันซ่อนไว้เป็นเกร็ดเล็ก ๆ ในวิชาภาษาไทยเท่านั้นเอง
ความจริงผมเรียนไม่จบมัธยมปลายแค่เทอมเดียว ผมได้เรียนโรงเรียนเอกชน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ดีและทุกคนแข่งกันเรียน แต่ผมรู้สึกว่าเครียดมากเลย เพราะครูมาจี้กับผมว่า ‘อนาคตเธอแย่แน่ เธอต้องไปขายถั่ว’ ผมรู้สึกเครียดเกินไปไหม คิดว่าบ้าป่าวเนี่ยชีวิต มันจะเครียดอะไรแบบนั้น ผมเลยไปลาออกด้วยตัวเอง ครูบอกว่าต้องไปบอกอาจารย์ใหญ่ ผมก็เดินไปหาอาจารย์ใหญ่บอกว่า ‘อาจารย์ครับผมลาออก’ อาจารย์ใหญ่ก็บอกว่าให้เอาผู้ใหญ่มาทำเรื่อง แต่ผมบอกว่า ‘ไม่ ผมจะไม่มาที่นี่อีกแล้วที่นี่ มันไร้สาระ’ ครูก็โทรมาเรื่อย ๆ ให้มาเขียนใบลาออกแต่ผมไม่ไป ผมโทรบอกแม่ว่า ‘ม๊าหนูลาออกแล้วนะ’ เขาก็บ่น ๆ แต่ผมเป็นเด็กช่างเจรจา เลยบอกว่าจะไปช่วยทำธุรกิจที่บ้าน ตอนนั้นผมขายฝันให้เขาเพื่อให้ได้ลาออก
ลาออกมาก็มีความทุกข์อยู่ดี เพราะผมไม่มีบรรยากาศที่เด็กมันควรมี ซึ่งคือการไปเจอเพื่อน ๆ มีปั๊ปปี้เลิฟ ผมได้แต่เฝ้าร้านให้แม่เหงา ๆ อย่างที่ได้รับปากไว้ที่จะทำแต่ไม่ได้อยากทำ ผมรับกรรมในสิ่งที่ตัวเองเลือกโดยไม่บ่น แต่มองหาทางที่จะไปทำอะไรที่ตัวเองรักในสักวัน ไม่ได้อยากเลือกแนวทางนี้มาเท่ ๆ ถ้าอยากจะมีความสุขก็อาจจะทนเรียนไปเพราะจริง ๆ มันก็มีสิ่งอื่น ๆ ที่ดีนอกเหนือจากการเรียน แต่ผมรู้สึกว่าผมเลือกแล้วว่า เสียเวลากับการเรียนแบบนี้ไม่ได้มันทรมาน และผลสอบออกมาก็ต้องเอาไปให้แม่ดู แล้วโดนด่าอีกเป็นวัฏจักร
ถ้าถามตัวเองตอนนี้รู้สึกยังไงกับตอนที่ไอ้หนุ่มคนนั้นขอลาออก ผมรู้สึกคิดถูกมาก ทุกวันนั้นผมใช้เรื่องนี้เป็นเรื่องสอนประจำตัว ผมสนับสนุนให้เด็ก ๆ ทำแบบนี้ด้วยแต่ไม่ใช่ว่าลาออก เพราะว่างี่เง่ากับอะไรบางอย่าง แต่ตอนนั้นที่ผมลาออกคือ ผมเรียนทุกวิชาแล้วมันฝืนทุกวิชาเลย แล้วมนุษย์เรามันไม่น่าจะมีประโยชน์แค่เรื่องเรียนเก่ง อย่างผมเตะบอลก็เก่งนะ ทำไมไม่ชมผมบ้าง แถมเวลาพ่อแม่ใช้ไปซื้อของผมก็ไปซื้อนะ ผมใช้ง่ายผมเป็นเด็กดีนะเนี่ย แต่มันก็เป็นเรื่องเล็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องระดับชาติแบบเรียนเก่ง แล้วทำไมถึงต้องด้อยค่าคนอื่นมากจนเกินไป มันดูแบ่งชั้นวรรณะแบบ ‘อ่อ ไอ้นี่เรียนไม่เก่ง’ กลายเป็นคนแย่ไปเลย ถ้าคนไม่มีจิตใจเข้มแข็งหรือไม่เป็นตัวของตัวเองมากพอ เขาก็จะกลายเป็นคนต่ำต้อยไปเลย แต่โชคดีที่ผมเป็นคนแข็ง และเป็นคนที่มั่นใจในเส้นทางของตัวเอง
สถานที่ ที่ชอบที่สุด
เวลาใครถามผมว่าชอบสถานที่ไหนมากที่สุด ผมไม่มี เพราะมันตอบไม่ได้ ผมไม่ได้ตอบเอาเท่ด้วยนะ ผมไม่เคยชอบที่ไหนมากที่สุดเลย เพราะว่าผมไม่เคยกำกับว่าอยากไปเที่ยวเพื่อไปสถานที่กลับมา ผมมองตัวเองเป็นเหมือนกล่องสุ่ม ที่พยายามสุ่มตัวเองให้ได้ไปที่นั้น ๆ ส่วนสิ่งที่ผมค้นหาจริง ๆ คือคนที่นั่นมากกว่า ผมจะได้เจอกับใครบ้าง เขาจะชวนไปนู้นไปนี่ไหม เดี๋ยวเขาจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งรึเปล่านะ
สิ่งที่ผมไม่เคยเล่าให้คนอื่นฟังคือ ผมคาดหวังจะให้คนในแต่ละพื้นที่ทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิดออกมา บางทีผมคาดหวังว่าการคุยกันเขาจะต้องเดินไปส่ง หรือชวนผมไปนอนบ้านก็คงดีเนอะ แล้วผมก็รู้สึกว่าลืมไปเลยว่าตัวเองตั้งใจจะมาเที่ยวภูชี้ฟ้า ผมลืมไปเลยว่าผมจะไปที่นั่น ในเวลาที่ผมเกาะติดกับโมเมนต์ของใครได้ ผมจะอยู่กับเขาเป็นจริงเป็นจังเลย บางทีเขาก็รักผมเลยนะ อยากจะได้ช่องทางติดต่อกับผมต่อ แต่ผมเลือกที่จะเลือดเย็นและสลัดความต้องการนั้นออกไป (หัวเราะ) ผมเป็นคนแบบนั้น
เวลาต้องตัดจบความสัมพันธ์รู้สึกอย่างไร
ความสัมพันธ์แบบที่เป็นเพื่อนกันไปตลอดกาล มันเหมือนคนที่ดูหนังมากไปว่า สองคนนี้จะรู้จักกันตลอดไป แต่ความจริงแล้วมันไม่เลย มันเย็นชา เย็นชาในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้รักกัน แต่เย็นชาเพื่อที่ว่าต้องการเก็บสิ่งนี้ไว้ ถ้าเกิดเขามีช่องทางติดต่อมาผมก็จะตอบไป แต่จะไม่ได้ลงลึกกันอีก
หากมีโอกาสได้เจอกันอีก ผมก็จะหาเวลาไปเจอและไปเชื่อมต่อเรื่องราวจากวันนั้นที่เราจากกันมา เหมือนคนสมัยก่อนที่ไปเยี่ยมเพื่อนที่ต่างจังหวัดหลังจากไม่ได้เจอกัน 15 ปี แล้วเขาไม่มีช่องทางติดต่อกัน ไม่มีเบอร์ ไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์ก แต่รู้ว่าบ้านอยู่ตรงนี้ ผมอยากจะไปเคาะประตูบ้านเขา แล้วก็บอกเขาว่าผมมาเยี่ยมแล้วด้วยความจริงใจ ไถ่ถามกันว่าเป็นยังไงบ้าง ตอนนั้นเราเคยทำแบบนั้นแบบนี้กัน
ถ้ามีเวลาหลังจากที่ผมได้คุยกับใคร ผมจะอธิบายทั้งหมดว่าผมคิดแบบนี้นะมองโลกแบบนี้ เพราะฉะนั้นอย่าติดต่อกันถ้าไม่จำเป็น บางทีคนไม่รู้และคิดว่าอยากให้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ว่าแฮปปี้เอนดิ้งของผมมันเป็นอีกแบบนึง จะไม่มีการสารสัมพันธ์กัน ถ้าอยากเจอกันใหม่ อยากให้มาเจอตัวกันเป็น ๆ ให้เวลาต่อกันจริง ๆ ผมไม่อยากเห็นคุณในเฟซบุ๊กว่าคุณสบายดี คุณอัปรูปสวย ๆ คุณซื้อบ้านใหม่ ผมก็ไม่ได้ห่วงอะไรคุณ หรือเป็นห่วงว่าคุณว่าชีวิตจะแย่ลง แต่ถ้าเราได้เจอกันอีก เราคงได้อัปเดตกันในอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น ‘คุณแม่เราเสียไปเมื่อสามปีก่อนแล้วนะ แล้วตอนนี้เธอซื้อบ้านใหม่ คราวที่แล้วมาเธอไม่มีบ้านตรงนี้นี่นา’ ผมรู้สึกว่านี่มันคือมนุษย์มาก ๆ เลยอยากกลับไปเป็นมนุษย์เก่า ๆ หน่อย ดูจะเย็นชาในบางสถานการณ์บ่อย ๆ ซึ่งบางคนอาจจะไม่เข้าใจผมก็ได้
มีความสัมพันธ์ครั้งไหนที่เราอยากจะเก็บไว้ไหม
จริง ๆ ก็ตัดได้ทุกครั้ง แต่มันก็มีมุมที่ผมจิตนาการไปต่อว่าถ้าผมไม่ได้เป็นแบบนี้ ถ้าไปต่อได้มันคงเป็นแบบนี้เนอะ คงจะแปลกดี แต่มันยังไม่ใช่ไทม์ไลน์ในตอนนี้ ผมต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง เพราะนี่คือโจทย์ของชีวิตในตอนนี้ อย่ามาเปลี่ยนเพราะความอ่อนแอหรือเพราะความลุ่มหลง ห้ามมาใจเสาะ ผมจะเข้มงวดกับตัวเองมากในเรื่องของจิตใจ ที่จะไม่เปลี่ยนเป้าหมายที่ต้องการ แต่อาจจะมีจินตนาการเล่น ๆ คิดสนุก ๆ บ้าง
ถ้าเกิดเราไปสถานที่ ๆ ไม่มีผู้คนล่ะ
ถ้าไปบางสถานที่แล้วไม่เจอใครสักคน อย่างการไปเดินป่า นอนคนเดียว ยังสนุกอยู่ไหม ใช่เรารึเปล่า มันก็ยังใช่อยู่นะ มันคือหนังตอนพิเศษที่วันนี้ภารกิจคือการเอาตัวรอด ไม่ใช่เรื่องของความรัก หรือความสัมพันธ์ คนเราไม่ได้กินอาหารเมนูเดิมตลอดอยู่แล้ว ก็เหมือนได้สลับ ๆ เมนูกันไป การเดินทางก็เช่นกันเวลาที่ไปเดินป่า หรือเดินเขาหลาย ๆ คนมักจะเอาจุดหมายเป็นที่ตั้ง เช่น ขึ้นไปแล้วหายเหนื่อยเลย แต่สำหรับผมระหว่างทางมันคือสิ่งที่สำคัญ ผมคิดอะไรได้ตั้งหลายเรื่องเลยระหว่างที่เดินขึ้นไป ผมก็รู้สึกว่าอยู่เงียบ ๆ บ้างก็ดี มีแค่เสียงนกเสียงไม้กับความเหนื่อย มันทำให้ผมได้เข้าใจได้อีกว่าบางครั้งคนเราก็ต้องการอยู่คนเดียวจริง ๆ
ตอนผมไปป่าบงเปียง ผมอยู่ในโฮมสเตย์ที่ไม่มีไฟฟ้า ต้องจุดเทียน มีกลัวผีบ้างแล้วก็คิดว่า ‘เฮ้ย ต้องทำยังไงต่อ’ เหมือนต้องอัปเดตเฟิร์มแวร์มากขึ้นเรื่อย ๆ จากประสบการณ์นี้ แบบที่ไม่มีคน ไม่มีชาวบ้านที่คอยช่วย การแก้โจทย์สมการตัวเองไปที่ละข้อ ๆ เหมือนว่าเราไม่ได้มีโจทย์เดียวตลอดเวลา แต่ผสมกันวันละหลาย ๆ โจทย์ที่มันผ่านเข้ามา มันก็สนุกหมดแหละ ถ้ามันอยู่ในวงของการเดินทาง คล้าย ๆ กับการเปลี่ยนเครื่องดื่ม วันนี้กินเบียร์ อีกวันกินไวน์ อีกวันเหล้า มันคือเรื่องเดียวกันแต่มีจุดชนวนที่ต่างกัน
สิ่งที่ชอบทำในชีวิตประจำวัน
เหมือนกันคนทั่วไป ถ้าไม่ได้เดินทางผมชอบอยู่กับแฟน ชอบอยู่เฉย ๆ หรือขับรถไปไหนมาไหนนั่งดูแฟนดูเขาทำอะไรตลก ๆ ไปเรื่อย ๆ มันผ่อนคลายดีไม่ต้องเครียด ไม่ต้องเปิดสวิตช์ แต่เมื่อผมเดินทางผมจะสับสวิตช์เป็นผมอีกคนนึง ผมไม่เคยคุยกับแฟนเลยเวลาออกเดินทาง ผมอาจจะหายไปเป็น 15 วัน ผมจะเล่นบทเป็นคนอื่นไปเลย แต่ถ้าเกิดว่าผมสับเข้ามาเป็นชีวิตสามัญ ผมก็อยู่ด้วยความอบอุ่น แล้วก็แคร์กันเต็มที่
คุณเบนซ์รู้สึกดีใจที่สุดในชีวิตตอนไหนครับ
ตอบยากเหมือนกันครับ น่าจะตอนสอบมหา’ลัยติดมั้ง เพราะเป็นคนเรียนแย่มาก และตอนมหา’ลัยผมไม่ได้ใช้เส้นสายแบบตอนเด็กที่แม่เอาไปฝากเพื่อให้ได้เข้า ผมเคยรู้สึกว่าตัวเองขาดคุณสมบัติที่ไม่สามารถสอบติดมาทั้งชีวิต แต่วันนึงคือแม่ไม่ช่วยแล้ว แม่จะให้สอบเข้าภาคปกติเท่านั้น เลยเป็นครั้งแรกที่ผมต้องแข่งขันกับคนอื่น จนสอบติดเป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยตัวเอง โดยไม่มีใครช่วย ตอนนั้นมันดีใจมาก ๆ
สีที่ชอบที่สุด
ผมชอบสีแดงที่เป็นโลโก้ Gaijin ครับตอนเด็ก ๆ เลย คือเราชอบสีแดงตั้งแต่เด็กแล้วแบบขบวนการ 5 สี อย่างผมชอบตัวสีแดงเพราะมันเป็นพระเอก แต่พอโตขึ้นมาก็ใส่สีขาวดำทำตัวเท่ และไม่ได้ยุ่งกับสีแดงอีกเลย จนมาถึงยุคที่จะทำ Gaijin ผมตีโจทย์ว่าเราอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ในตอนที่ผมยังเป็นที่รักของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เหมือนเด็กขี้เมาดื้อไปวัน ๆ แบบนี้ และไม่ใช่ขาวดำเทาที่เราเป็นในตอนมหาลัยและทำงาน พอเริ่มวัยรุ่นเป็นหนุ่มหน่อยก็ชอบสีดำเพราะอยากเท่ ผมเบื่อไอ้หนุ่มคนนี้มากเลย ผมเลยนึกถึง