ช่วยแนะนำตัวสำหรับคนที่ไม่รู้จัก
ถ้าสำหรับคนที่ไม่รู้จักผมเลย ผมก็บอกเขาไปว่า ‘ผมเป็นนักออกแบบและเจ้าของกิจการ ทำธุรกิจ 4-5 อย่าง และรับจ้างทั่วไป มีร้านอาหารที่เพิ่งขายหุ้นไปและยังรับออกแบบคาเฟ่ด้วย ตอนนี้ก็กำลังทำร้านขายของชำ’ พอบอกไปประมาณนี้เขาก็จะไม่ถามต่อแล้ว เพราะรู้สึกว่าเหมือนเป็นคนบ้าทำอะไรหลาย ๆ อย่างไปพร้อม ๆ กัน
สิ่งที่กำลังสนใจอยู่ในตอนนี้
ความสนใจตอนนี้ส่วนตัวสนใจเรื่อง Bad Taste หรือรสนิยมห่วย ๆ รสนิยมที่คนบอกว่ามันไม่ดี Bad Taste สำหรับผมคืออะไรที่อยู่นอกค่ากลาง สมมติว่าวันนี้เราเดินไปในห้องตัวอย่างคอนโดฯ เปิดประตูเข้าไปนั่นแหละคือค่ากลางของคนทั่วไป เพราะเขาตกแต่งออกมาให้คนหมู่มากรู้สึกอยากซื้อ อยากเป็นเจ้าของทันที ซึ่งมันหนีไม่พ้นหินอ่อน การใช้สีทอง ไม้โทนอุ่น ๆ หมอนสีเบจ มันไม่ได้ผิดอะไร เพราะถ้าเขาจะทำคอนโดฯ มาขายคนแบบผมมันมีน้อยไง แต่ผมอยากจะเดินเข้าไปแล้วเห็นโต๊ะมีตัวอักษร ก-ฮ หรือโต๊ะที่มีลายปลาคาร์ป
อย่างต่างประเทศจะมองว่า personality fee คือมึงอยากจะแต่งคอนโดฯ ให้มีราคาใช่ไหม แต่มันขายยากนะมึง ยิ่งแต่งห้องยิ่งขายยาก เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะอยู่ในห้องที่เป็นตัวเรามันก็จะมีราคาที่แพงขึ้น เพราะฉะนั้นสำหรับพี่ Bad Taste ก็คือสิ่งเฉพาะที่เราชอบซึ่งมันอยู่นอกค่ากลาง
อย่างตอนนี้มีคดีใหญ่อยู่คดีหนึ่ง เราจะเห็นเลยว่า conman (นักต้มตุ๋น) คนนี้มันเข้าใจประเทศเราดีมาก ๆ เลย อย่างแรกมึงต้องศัลยกรรมก่อน ถ้าเคยเป็นคนไม่ขาวจงไปขาวซะ จมูกแบนเหรอไปทำจมูกให้โด่งซะ ต้องใส่สูทมีรถแพง ๆ ไง คนจะได้รู้สึกว่าน่าเชื่อถือ ซึ่งสำหรับเรามันน่าขยะแขยงมาก แต่คนส่วนใหญ่ชื่นชมเขา ผมเลยมองว่าเขาเก่งนะ เพราะเขารู้ว่าคนหมู่มากให้ค่ากับอะไรและจะลวงคนเหล่านี้ด้วยอะไร
แต่ผมให้ค่าสิ่งต่าง ๆ ตรงข้ามกับเขาเลย ทุกวันนี้ผมยังไม่มีรถสักคัน รถคันแรกที่ซื้อคือตุ๊ก ๆ ตอนนั้นยังขับรถไม่เป็นด้วยซ้ำ เราเลยสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษว่ามันจะมีวันไหนบ้างไหมที่รสนิยมของเราจะกลายเป็น mainstream (กระแสหลัก) อย่างเมื่อก่อนดาราที่เคยหล่อเบอร์ต้น ๆ แต่ด้วยลุคของเขาแบบนั้นไม่สามารถที่จะดึงดูดคนได้อีกต่อไปในทุกวันนี้
แม้กระทั่งการทำคอนเทนต์บนเว็บ เช่น 20 คาเฟ่สไตล์เกาหลี ผมก็คิดนะว่าทำไมต้องสไตล์เกาหลี แล้วจะอยากอยู่แต่เกาหลีทำไม อยู่ประเทศไทยแล้วทำไมไม่มี 20 คาเฟ่สไตล์ไทยบ้างเลย สำหรับผมมันแสดงให้เห็นแนวคิดหรือ mindset ว่าเรายังตกเป็นประเทศเมืองขึ้นของประเทศอะไรไม่รู้โดยที่เรายังไม่รู้ตัวด้วย
ชอบอะไรใน Bad Taste
Diana Vreeland บรรณาธิการนิตยสาร Vogue ท่านหนึ่งที่เสียชีวิตไปแล้วเคยพูดไว้ว่า “Too much good taste can be boring” เขาบอกว่าถ้ารสนิยมมันดีมากทุกกระเบียดนิ้วมันคงน่าเบื่อ ส่วนตัวผมเห็นด้วย เพราะผมรู้สึกว่าคนที่ใส่แบรนด์เนมตั้งแต่หัวจดเท้าคือคนที่รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองมาก ๆ เลย เข็มขัดต้องเป็นหัวนั้นหัวนี้ ผมรู้สึกว่าคนพวกนี้เหมือนห่มสเตตัสตัวเองเอาไว้ แต่ผมสนใจการ mix & match มากกว่าถ้าเขากล้าที่จะหยิบของที่คนอื่นมองว่าดูไม่ดีมาทำให้ดูมีมิติที่น่าสนใจได้
ต้องบอกว่าตัวเราเองใช้เวลาอย่างมากในการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกคนที่น่าสนใจคือ John Waters เขาเคยพูดไว้ว่า “To me, bad taste is what entertainment is all about. If someone vomits while watching one of my films, it's like getting a standing ovation. But one must remember that there is such a thing as good bad taste and bad taste”
เขาบอกเอาไว้ว่าการที่คุณจะมีรสนิยมที่แย่ได้คุณต้องมีรสนิยมที่ดีก่อน แล้วถึงรู้ว่าคนส่วนมากเขามองว่าอะไรดีถึงได้รู้ว่าอะไรไม่ดี มันจะมีความย้อนแย้งกันอยู่ แต่ถ้าเราอยากจะรู้จักรสนิยมที่ดีมากยิ่งขึ้นคุณก็ต้องรู้จักในฝั่งของรสนิยมห่วย ๆ มากขึ้นไปด้วย
มันคล้าย ๆ กับการแต่ง Drag Queen เหมือนกันนะ มันเป็นการเล่นกับ identity (ตัวตน) ของตัวคนว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ได้เป็นคนแบบนี้หรอก แต่เราทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้ มันไม่มีอะไรจริงหรอก มันเป็นแค่กายหยาบ ฉะนั้นจะใส่อะไรก็ไม่สำคัญ สำหรับผมมันคล้ายกันมาก gender fluid/indentity free และ Bad Taste เพราะสำหรับผม ผมไม่รู้สึกกลัวอะไรทั้งสิ้น ถ้าวันนี้ผมเอาวิกสีชมพูมาใส่หัวแล้วคนจะมองว่าเราเป็นคนข้างถนนเราจะไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่
ใช้ Bad Taste กับการทำงานได้ยังไง ในเมื่อมันเหมือนเป็นการสื่อสารกับคนกลุ่มน้อยมากกว่า
เราเองทำงานรับจ้าง บางทีในการพรีเซนต์ก็พยายามสอดแทรก Bad Taste ที่ว่านี้ลงไปตลอด ลูกค้ามักจะบอกว่า ไม่เท่หรอก เฉิ่ม มันเห่ย มันดูไม่แพง บางทีนี่เหมือนหย่อนระเบิดลงไปเลย ลูกค้าด่าจนต้องล้มแบบแก้กันแทบไม่ทันก็มี แต่ในทางกลับกัน ถ้าแบรนด์แฟชั่นใหญ่ระดับโลกทำเขาก็จะปรบมือให้ ผมก็รู้สึกว่ามันผิดที่ตัวกูเหรอ ผิดที่กูไม่ใช่ฝรั่ง หรือผิดที่กูแค่ไปสนใจในสิ่งที่คนอื่นไม่สนใจ ผมเลยอยากจะลองว่ามันมีทางไปไหมในฐานะคนที่อยู่ในวงการนี้มากว่าสิบปีแล้ว เราจะพูดอะไรหรือสนับสนุนอะไรให้กับวงการนี้ได้อีกเลยมาใส่แพสชันไปกับเรื่อง Bad Taste
ก่อนหน้านี้งานที่ผมทำก็เป็นเรื่องของรสนิยมห่วย ๆ เหมือนกัน แต่ช่วงแรก ๆ ผมเน้นทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จักเลยทำอะไรที่โฉ่งฉ่างนิดหนึ่ง เช่น เรื่องการพูดเรื่องการเมือง พอนายทุนเริ่มรู้จักเรามากขึ้นเราก็เริ่มหันมาพูดเรื่องงานคราฟต์ในรูปแบบใหม่ๆ และค่อยๆ พัฒนามันมาเรื่อยๆ จนเป็นในงานในรูปแบบปัจจุบันนี้
มีตัวอย่างงานที่เรานำเสนอความ Bad Taste แล้วได้ทำออกมาบ้างไหม ผลตอบรับเป็นอย่างไร
ผมไม่ได้ถึงกับขนาดยัดเยียดมันลงไปในงานขนาดนั้น เราพยายามใส่สิ่งที่คิดว่าเหมาะกับโปรเจกต์นั้นจริง ๆ ซึ่งมีแค่บางงานที่ลูกค้าอนุญาตให้เราใส่มันลงไปโดยไม่ว่าอะไรเลย อย่างล่าสุดร้านอาหารรวยมิตร และตอนนี้กำลังทำแบรนด์ร้านส้มตำเด้อที่เราใช้ภาษารถสิบล้อทั้งหมด ทำให้เห็นว่ามันสามารถเข้ากันได้ เพราะเราสามารถเอาเหตุผลไปบอกได้ว่าทำไมมันถึงเหมาะ แต่กับลูกค้าบางคนเขามีภาพในหัวอยู่แล้วและไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่เรานำเสนอ เขาก็จะไม่เชื่อเรา
ในทางกลับกัน ถ้าผมเสนออะไรที่เป็นชีวิตประจำวันไทยริมถนนและพูดในฐานะของความเป็นศรัณย์ ไม่ใช่ดีไซเนอร์ต่างประเทศ ยังไงก็ขายไม่ผ่านหรอก ถ้าผมเป็นดีไซเนอร์มาจากต่างประเทศและมีชื่อเสียงในระดับสากล หยิบถุงสำเพ็งมาทำใหม่คนคงซื้อกันทั่วโลก บางทีมันก็ติดอยู่ที่สเตตัสทางสังคม
อยากให้ตัวเองมีชื่อเสียงและมีสเตตัสในระดับสากลไหม
ไม่ครับ ผมเหนื่อยแล้วครับ ผมเคยไปแสดงงานมาทั่วโลกแล้ว อย่าง Milan Furniture Fair แต่สุดท้ายผมก็หันมาถามตัวเองว่าเราทำไปเพื่ออะไรกันแน่ ทำไปเพื่อหวังว่าวันหนึ่งถ้าเราเสนองานลูกค้าไป วางแบบลงไปแล้วคนจะไม่เถียงเราเหรอ ก็คงไม่ใช่ ผมเลยไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร มันเหมือนผมพยายามจะได้รับ validation (การยอมรับ) จากคนอื่น ถ้าต้องการการยอมรับ ผมคงต้องการจากตัวเราเองมากกว่า ถ้าวันนี้คนชอบรสนิยมแบบที่ผมนำเสนอเพียงไม่กี่คนผมก็โอเคแล้วแค่นี้พอ
คิดว่าสเตตัสทางสังคมสำคัญกับผลงานไหม
ผมคิดว่าเกี่ยว อย่างรายการร้องที่มีกำแพง ผมดูทุกเทปเลยนะ สำหรับผมมันเป็นเหมือน social experiment (งานทดลองเชิงสังคม) เหมือนกันว่าคนที่อยู่ด้านหน้ากำแพงจะมีปฏิกิริยายังไงกับสิ่งที่เห็น บางคนที่มาเป็นคนที่คนส่วนใหญ่นับถือและมีฐานะทางสังคมที่สูง แล้วทุกคนต้องยกมือไหว้เขาและมองว่าเขาอยู่สูงกว่า แต่สำหรับผมเองรู้สึกว่ามันไม่เห็นต้องทำขนาดนั้น เขาก็เป็นแค่คนรวยคนหนึ่งเอง
เรื่องนี้มันหนีไม่พ้นจริง ๆ เพราะประเทศเรามันพ่วงมาด้วยบริบทและ status quo (สถานะทางสังคมที่ไม่เท่ากัน) ฉะนั้นอิทธิพลของคนคนหนึ่งที่ทำให้เราต้องพินอบพิเทากับเขา ทำให้เราต้องพัฒนาตำแหน่งทางสังคมของตัวเอง
คุณศรัณย์ไม่ได้สนใจสเตตัสของสิ่งของที่คุณศรัณย์นำมาสร้างเป็นผลงานเพียงเพราะมันคือ Bad Taste สำหรับคนอื่นใช่ไหม
ใช่ ผมอยากจะอ้างอิงไปถึงการแต่ง Drag สำหรับผมเพศภาพคือเรื่องสมมติ คุณจะเอาอะไรมาเคลือบตัวเองก็ได้ เพราะฉะนั้นข้าวของมันก็เหมือนกัน มีประโยคหนึ่งที่ RuPual เคยพูดไว้ว่า “We’re all born naked, and the rest is drag.” ทุกคนเกิดมาเปลือยเปล่า แต่ที่เหลือคือสิ่งที่คุณกระทำกับตัวคุณ อย่างตอนนี้คุณแค่แต่งเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิง เป็นหนุ่มธุรกิจ เป็นมาดาม แต่พอเปลือยเปล่าเนื้อในเราก็เหมือนกันหมด
ผมรู้สึกแบบนั้น เพราะผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าโต๊ะทองเหลืองมันจะดีน้อยกว่าโต๊ะโพเมก้าพับได้ยังไง ส่วนตัวเราตื่นเต้นเวลาเห็นทองเหลืองมากกว่าอีก แต่ทำไมไม่มีคนคิดแบบนี้เยอะ ๆ เราอยู่ในวงการนี้มาเป็น 10 ปี คนที่เห็นดีเห็นงามกับผมมันน้อยมากเลย เราไม่ได้อยากจะมีเอกลักษณ์พิเศษหรืออะไรนะ แค่อยากมีคนคิดเหมือนเราบ้าง เอองานแบบนี้ก็ดีนะ ไม่ว่าจะเป็นของข้างถนนหรืองานคราฟต์ อันนี้ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าน้อยใจไหมนะ แต่ถ้าจะสู้กันในวันนี้มันคงง่ายกว่าถ้าพี่รับแต่งบ้านสไตล์เกาหลี
เรื่องราวที่คนยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวคุณ แต่คุณอยากเล่าให้ฟัง
ผมรู้สึกว่าจริง ๆ ผมเป็นคนไม่มีฟิลเตอร์เลย ตัวตนของผมมันออกมาผ่านงานทั้งหมด ความจริงช่วงนี้เป็นช่วงฤๅษี เป็นช่วงเก็บตัวไม่ค่อยอยากคุยกับใคร งานที่กำลังจะปล่อยในเดือนหน้า น่าจะเป็นงานที่โฉ่งฉ่างน้อยที่สุดเท่าที่เคยทำแล้ว ช่วงนี้ใครชวนไปปาร์ตี้ก็จะไม่ค่อยได้ไปแล้ว เพราะเราอยากจะออกจากสปอตไลต์ตรงนี้ สิ่งที่คนอื่นไม่รู้คือ ทุกคนจะชอบคิดว่าผมเป็นคนแซ่บตลอดเวลา วิธีการพูดอะไรอาจจะดูเป็นคนร้าย ๆ แต่เปล่าเลย ผมเป็นคนจืด ๆ แบบธรรมดาเลย
เหตุผลที่ทำให้ช่วงโควิดทำให้เริ่มไม่อยากเข้าสังคม
ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากเสี่ยงด้วย เราป่วยไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว หลัก ๆ คือช่วงห้าปีที่ผ่านมาโซเชียลมีเดียเติบโตมาถึงจุดที่ผมรู้สึกเกลียด ผมเกลียด TikTok มากเลย หรือถ้าผมไปตาม Instagram ใครแล้วเขาโพสต์รูปตัวเองติดกันเกิน 12 ช่องเราจะเลิกตามเขาทันที ผมรู้สึกว่าโลกมันมีอะไรน่าสนใจมากกว่าตัวกูหรือตัวมึง การเติบโตของโซเชียลมีเดียมันทำให้คนไม่กล้าโพสต์รูปชั่ว ๆ ของตัวเอง ทุกคนล้วนประสบความสำเร็จและเป็นเศรษฐีกันหมด ถ้าถามว่าตอนนี้เล่นอยู่บ้างไหม ก็เล่นนะ แต่ถ้าให้เราเลือกว่าเราอยากเป็นคนแบบนั้นไหม เราไม่อยากเป็น
Banky เคยพูดไว้ว่า ไม่รู้ว่าคนจะอยากมีตัวตนไปทำไม เพราะความจริงแล้วอำนาจหรือพลังพิเศษจริง ๆ คือการหายตัวได้มากกว่า “I don't know why people are so keen to put the details of their private life in public; they forget that invisibility is a superpower” ผมเชื่อแบบเดียวกัน ถ้าให้เลือกว่าจะเป็น Superman หรือ Hollow Man ผมเลือกเป็น Hollow Man ดีกว่า
เช่นเดียวกับ Kanye West ที่พูดไว้ในรายการ My Next Guest Needs No Introduction with David Letterman uu Netflix “My Power Is My Ability to Not Be Influenced" การ influence (โน้มน้าว) ไม่ใช่อำนาจ แต่การไม่ถูก influenced ต่างหากคืออำนาจที่แท้จริง มันจริงกับตอนนี้มาก ๆ ที่ว่าไม่ใช่ว่าคนตามเยอะแล้วจะมีอำนาจทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ เดี๋ยวนี้เวลาคุยกับน้อง ๆ ก็จะถามว่าทำยังไงให้ได้ผู้ติดตามเยอะ ๆ เรารู้สึกว่าคุณค่าของคนแต่ละ generation มันไม่เหมือนกัน แต่สำหรับผม ผมชอบที่จะมีอำนาจที่ไม่ถูกโน้มน้าวอย่างล่องหนมากกว่า
แสดงว่าคุณศรันย์ไม่ได้คาดหวังอะไรต่อใครเลยเวลาทำงานหรือแสดงอะไรออกไป
ไม่มีความคาดหวังเลยครับ อย่างที่บอกไปว่าการไม่มีตัวตน การไม่ถูกโน้มน้าว มันคืออำนาจอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นแล้วเวลาที่ผมส่งอะไรออกไปยังโลกใบนี้ ผมไม่มานั่งรอการยอมรับจากใคร ผมแค่อยากจะส่งมันออกไป ได้สื่อสารสิ่งที่ต้องการออกไป ถ้าจะมีคนตอบรับกลับมาก็ดีใจ ดูยอดไลก์บ้าง แต่ต่อให้เขาไม่แชร์ ไม่มีคนปรบมือให้ แต่ผมชอบมัน เห็นว่างานที่ทำมันตอบสนองวัตถุประสงค์และมีความหมายกับตัวผมเอง ก็พอแล้ว
บุคคลที่คุณประทับใจ และอยากแนะนำให้รู้จัก
ป้า Iris Apfel เขาเป็นสไตลิสต์ที่ทำงานเกี่ยวกับผ้า อายุร้อยกว่าปีแล้ว ผมว่าเขาเป็นคนที่มีพลังงานที่ดี เป็นคนที่เดินไปไหนทุกคนก็อยากเข้าหา
คุณพิเชษฐ กลั่นชื่น ที่เขาทำโขน
Rei Kawakubo ดีไซเนอร์ของ Comme des Garcons เพราะเขามักสร้างสิ่งใหม่ได้เสมอ
อาจารย์เอนก นาวิกมูล เพราะแกเหมือนเป็นแฟ้มเอกสารที่มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ผู้คน ศิลปะ และเพลงที่เยอะมาก ๆ เหมือนเป็นคลังข้อมูลที่ควรบรรจุเก็บไว้อย่างดี
แนะนำสำหรับคนที่หาแพสชันของตัวเอง
โลกเขาคิด Google มาให้มึงแล้วมึงก็หัดใช้ให้เป็นด้วยเถอะ
เหตุการณ์ที่สร้างบทเรียนที่ดีให้กับตัวเอง
ตอนนั้นความสัมพันธ์เรื่องครอบครัวและคนรักเราค่อนข้างที่จะลืมตัว พอตอนที่เราเริ่มกลับมาแข็งแรงเราก็เริ่มกลับมาทำงานเหมือนเดิม แต่ต้องคอยเตือนสติตัวเองเป็นช่วง ๆ ว่าทำงานเยอะเกินไปไหม หลัง ๆ ผมจะเรียกร่างกายเป็นบุคคลที่สามว่า ศรัณย์ ผมจะพูดว่า ‘ศรัณย์ ขอโทษนะ เราทำงานหนักเกินไป’
สถานที่ไหนที่คุณชอบที่สุด
ชอบบาหลีเพราะได้ไปฉลองวันเกิดคนเดียว ชอบเกาะช้างเพราะได้เจอแฟนและมีความทรงจำที่ดี ชอบนนทบุรีเพราะเป็นบ้านเกิด ชอบตลาดน้อยเพราะมันเป็นตะเข็บของความเก่าและใหม่ ชอบพระโขนงเพราะเป็นปราการด่านสุดท้ายของสุขุมวิทชั้นในกับสุขุมวิทชั้นนอก จริง ๆ เคยชอบกรุงเทพฯ มาก เพราะทุกอย่างมัน Flavour full (เต็มไปด้วยรสชาติ) ไปหมดเลยจริง ๆ มันดีมาก แต่สาธารณูปโภคพื้นฐานมันแย่ไปหมดเลย
เหตุการณ์ที่ดีใจที่สุดในชีวิต
น่าจะเป็นตอนที่ได้บินไปทำงานกับไอดอลตัวเองที่ญี่ปุ่น เราได้ทำงานร่วมกับ Taku Satoh , Naoto Fukasawa, Issey Miyake และยังได้เจอกับทีม Comm des Garcon ด้วย การที่เราเป็นดีไซเนอร์จากประเทศโลกที่สามได้ไปแสดงงานในพิพิธภัณฑ์ 21_21 Design Sight ของเขาถือว่าเป็นเรื่องที่ดีใจที่สุด ซึ่งชีวิตคืองานมาตลอด แต่ถ้าเป็นในเรื่องส่วนตัวผมมองว่าคนเราต้องมีสามอย่างสำหรับความสุข คือ อยู่ในอากาศปลอดโปร่ง พ้นจากความทะเยอทะยาน และก็รักใครสักคนให้เป็น
เลือกสีที่ชอบที่สุด
สีเหลืองมะนาว สีเหลืองเวลาที่อยู่ตรงระหว่างไฟเขียวไฟแดงแล้วรู้สึกชอบที่มันเป็นตรงกลางระหว่างความ Good Taste กับ Bad Taste คงจะคล้าย ๆ การชะลอก่อนจะหยุดของไฟจราจร