เราชื่อกล้วย นฤมล ยิ้มฉวี หรือ Banana Blah Blah เป็นนักวาดภาพประกอบมาแล้ว 6 ปี และเป็นกราฟิกดิไซเนอร์ประจำมา 2 ปี ที่กรุงเทพฯ ตอนนี้เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการทำงานกราฟิกกับวาดภาพประกอบเนี่ยเราจะทำไปทั้งชีวิตเลยไหม หรือมันมีทักษะอื่น ๆ ที่เราสนใจอยู่อีก
เราเลยอยากจะพาตัวเองออกจากอะไรเดิม ๆ เพื่อให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เหมือนตอนที่เราเป็นเด็กและถูกโยนเข้าไปอยู่ในสนามเด็กเล่นที่เราไม่เคยไป แต่เราก็หาวิธีที่จะสนุกให้ได้ มันเลยทำให้มีแพสชันที่อยากจะรู้จักอะไรที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เช่นเรื่องของพื้นที่ คน ชุมชน และอยากจะเห็นว่าตัวเองจะเอาตัวรอดกับมันยังไง จนตอนนี้เราเลยตัดสินใจมาอยู่ลำปางได้ 7 วันแล้ว
ทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากงานที่กรุงเทพฯ
เรารู้สึกเบื่อจากการอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ เป็นเวลานาน ยิ่งในกรุงเทพฯ ช่วงโควิดที่ต้อง WFH (work from home) เราอยู่แค่ห้องตัวเอง บางอาทิตย์เราแทบไม่ได้ออกไปไหนเลยด้วยซ้ำ
มันมีแต่ความสะดวกสบาย เราสั่งกาแฟดิลิเวอรี ตอนเที่ยงอยากกินอะไรก็สั่งเอา ทำงานเสร็จตอนเย็นก็สั่งข้าวมากิน นาน ๆ จะไปซูเปอร์ฯ บ้าง อยู่มาวันนึงเราก็คิดว่า ‘ทำไมชีวิตเรามันน่าเบื่อจังวะ ไม่ได้ออกไปพบปะ เจออะไรใหม่ ๆ บ้างเลยเหรอ’ คือกรุงเทพฯ มันก็มี community ต่าง ๆ และพื้นที่ให้เลือกไปได้มากมาย แต่ทำไมมันกลับไม่ดึงดูดให้เราออกไปไหนเลย เริ่มรู้สึกเบื่อ เลยอยากลองไปอยู่กับสิ่งใหม่ ๆ
ตอนที่เราตัดสินใจลาออก บริษัทยื่นข้อเสนอให้เราพักสองเดือน จะไปเที่ยวหรืออะไรก็ได้ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
สองเดือนตัดสินใจไปพักทำอะไรมาบ้าง
ตอนนั้นเราคิดว่าภายในสองเดือนเราต้องสำรวจตัวเองว่าจะเอายังไงดีต่อกับชีวิต เราเองรู้สึกว่าอยากกลับมาวาดรูป และอยากจะหาทักษะอื่น ๆ เพิ่มเติม เราคิดว่ามันอาจจะมีทักษะอื่น ๆ ที่เรายังไม่เคยทำอยู่อีก
พอได้ปรึกษากับแฟนและเพื่อน ๆ เลยคิดว่าอยากลองทำอะไรที่ไม่เคยทำเพื่อที่จะเอาตัวเองออกจาก comfort zone ไปเลย แฟนเลยบอกว่าให้ลองไปเที่ยวดูสิ แต่เสนอว่าให้ไปคนเดียวนะ จะได้ใช้เวลาคิดและรู้จักตัวเองมากขึ้น ส่วนตัวคิดว่าตัวเองเป็นคนเมืองมาก ๆ ชอบความสะดวกสบาย ไปที่ไหนก็กลัวเรื่องความปลอดภัย เพราะเราเป็นผู้หญิงด้วย กลัวว่าไปต่างที่จะรู้เรื่องไหม จะนอนยังไง เรายังมีความกลัวอยู่มาก แต่ก็มีแรงผลักดันมากๆ เหมือนกันว่ามันถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ตัวเองได้รู้สึกตื่นเต้น หรือมีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาบ้าง ตอนนั้นรู้สึกว่ากราฟชีวิตมันนิ่งมาก อย่างน้อยการที่เราได้รู้สึกตื่นเต้นบ้าง หรือกลัวบ้างก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี พอนึกออกไหม มันเป็นความรู้สึกที่ได้รู้สึกอะไรสักอย่าง เราเลยเลือกไปเที่ยวต่างจังหวัด เพื่อค้นหาสิ่งที่น่าสนใจใหม่ ๆ
ไปจังหวัดไหนมาบ้างและรู้สึกอย่างไรตอนได้ไปเที่ยว
เริ่มจากแฟนไปส่งเราที่จังหวัดน่านและอยู่ด้วยสองวัน หลังจากนั้นก็อยู่คนเดียวเลยสิบกว่าวันได้ เริ่มต้นจากน่านไป สปัน แพร่ ลำปาง เราเลือกเที่ยวจังหวัดทางภาคเหนือเพราะเป็นที่ ๆ คุ้นชินที่สุด ครอบครัวเราอยู่เชียงใหม่ เลยคิดว่าอย่างน้อยอาหาร ผู้คน และภาษา เราจะคุ้นชิ้นมากกว่าภาคอื่น ๆ เพราะเราพอพูดภาษาเมืองได้บ้าง น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ตอนนั้นเราตัดสินใจอยู่ลำปางนานสุด 5 วัน เพราะมันมีที่พักที่ลำปางชื่อว่า สุดสะลี ซึ่งเป็นที่พักแบบบ้าน ที่เราสามารถอยู่คนเดียวได้ทั้งหลัง เราเองก็ไม่ได้มีแพลนเที่ยวในลําปางเลย เพราะเราแค่อยากจะอยู่ในบ้านคนเดียวแล้วเดินไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่ได้มีจุดหมายว่าจะไปท่องเที่ยวที่นั่นที่นี่ เราแค่อยากเดินไปพบเจอสิ่งต่าง ๆ ที่ไหนที่สบายก็ลองนั่งดูอะไรไปเรื่อย ๆ และใช้เวลากับตัวเองเงียบ ๆ
ห้าวันเงียบ ๆ กับตัวเองเป็นยังไง
การได้มีเวลาให้กับอะไรต่าง ๆ ใช้เวลากับตัวเองและปล่อยให้ตัวเองได้คิดบ้าง เราว่ามันก็ดีถ้าเปรียบเทียบกับตอนที่อยู่ในเมือง เราแทบไม่มีเวลาได้ปล่อยว่าง ๆ เลย ตอนอยู่กรุงเทพฯ มันก็มีเวลาว่าง แต่หาเวลาแบบนั้นได้น้อยมาก
ช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวมันค่อนข้างเงียบมาก ไม่ได้คุยกับใครเลย น้ำลายคือเหนียวมาก ๆ แต่มันก็ได้สํารวจความคิดตัวเองและได้ยินเสียงตัวเองดังมาก ว่าตอนนี้รู้สึกอะไรอยู่ เช่น ตอนนี้กลัวมาก เหงามาก ทำไมมันมืดแบบนี้ เราพยายามจดความรู้สึกต่าง ๆ ไว้ในสมุด ความรู้สึกดีที่เจออะไรที่มันไม่คุ้นชิน เพราะมันทำให้เราสังเกตเห็นความรู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้น เวลากลัวก็กลัวแบบจริง ๆ กลัวจนเหงื่อไหล กลัวจนขนลุก ใจสั่น อะไรแบบนั้น
ต่างจากความรู้สึกที่กรุงเทพฯ ยังไงบ้าง
เท่าที่เห็นชัดเจนเลยคือเราได้ใช้ประสาทสัมผัสมากขึ้นมาก ๆ เราได้ใช้เซนส์ของเราได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ถ้าเทียบกับตอนที่อยู่ในเมือง มันสะดวกสบาย เราอยากจะไปไหนเราเรียก Grab เรียกแท็กซี่ ซอยนี้ซอยอะไรเรายังไม่รู้เลย เราแค่ให้เขาพาเราไปถึงจุดหมายหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง อย่างตอนเราทำงานพระรามเก้า คือเท้าเรายังไม่ทันแตะพื้นเดินเลย ขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วเงยหน้าขึ้นมาก็ถึงออฟฟิศแล้ว มีดู google maps บ้าง ดูแต่โทรศัพท์ แต่ไม่ได้สังเกตหนทางอะไรรอบข้างเลย มันไม่ได้มีเวลาให้เราได้สังเกตอะไรเลย
ความจริงเราชอบเดินนะ ชอบเดินจากบ้านไปซูเปอร์ฯ แต่มันต่างจากการเดินที่ต่างจังหวัดมาก เวลาเดินบนฟุตพาทต้องคอยสังเกตเสาไฟ สังเกตหลุม สังเกตบ่อ ต้องคอยระวังเรื่องความปลอดภัยก่อน แต่ไม่ได้สังเกตรอบข้างว่านี่มันซอยอะไรแล้ว ตรงนี้สวยจังเลยนะ อะไรแบบนี้ แต่พอได้มาต่างจังหวัดคนเดียวก็ต้องใช้เซนส์ที่เบสิกมาก ๆ นั่นคือการเอาตัวรอด และทำให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัยอยู่เสมอ เราใช้หมดเลยนะ ทั้งการสังเกต การใช้ตา ใช้หู ฟังว่ามีอันตรายอะไรรึเปล่า ใช้จมูกดมกลิ่นต่าง ๆ ใช้ปากที่จะสื่อสารว่าที่นี่คือที่ไหน มันต้องใช้หมดเลย ไม่งั้นจะไม่สามารถเอาตัวรอดได้
แค่เบสิกเรื่องการถามทาง จะไปที่ไหนเราต้องเข้าไปคุยกับคน ได้สังเกต ไม่ได้มองแต่โทรศัพท์ สังเกตป้าย มองดูคนว่าจะถึงป้ายที่จะลงจากรถแล้วหรือยัง
ชีวิตในเมืองมันไม่พาให้เราขบคิดอะไรเลยอะ แล้วก็ไม่เกิดสิ่งใหม่ ไม่เกิดความเข้าใจอะไรใหม่ ๆ ด้วย แต่พอเราได้ออกมาเจออะไรที่สร้างแรงบรรดาลใจบ้าง มันกลายเป็น magic moment ช่วงเวลาที่ได้ทำความเข้าใจตัวเองใหม่ เรียนรู้ตัวเองใหม่ เหมือนเป็นพื้นที่ ๆ เราเรียนรู้ตัวเองได้เรื่อย ๆ เราเลยคิดว่าเราอยากจะมาอยู่ตรงนี้ดีกว่า มีเวลาเรียนรู้ตัวเองแบบเรื่อย ๆ มีเวลาได้ปล่อยความคิดได้บ้าง ไม่ต้องมั่นคง หรือกดดันตัวเองขนาดนั้น เพราะเราจะพาตัวเองให้อยู่รอดได้สักทางใดทางนึง
ยกตัวอย่างประสบการณ์ที่ทำให้ต้องเอาตัวรอดให้ฟังหน่อย
มีครั้งนึงเราเดินขึ้นไปบนน้ำตกสปัน ซึ่งเป็นการเดินป่าเส้นทางธรรมชาติ ตอนขากลับเรากลัวมากเพราะเราเจองู และเราไม่มีความรู้เรื่องงูเลย รู้แค่ว่ามันคืองู มันก็ต้องน่ากลัวและอันตราย มันเป็นงูสีดำ ๆ กำลังเลื้อยอยู่ ตอนนั้นเปิดเลย ‘ทำไงดีวะ’ สมองก็คิดว่า หนึ่งถ้าโดนงูกัดตายในนี้คือตายแน่นอน เพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลย พยายามที่จะคิดให้เร็วที่สุดว่าจะทำยังไงดี ก็เลยตัดสินใจเดินไปทางน้ำตกเพราะเห็นมีนักท่องเที่ยวอยู่สองสามคน ก็รีบเดินจ้ำ ๆ กลับไป
เราเดินเข้าไปหาคนตรงนั้นแต่เราก็ไม่ได้บอกเขาว่าเราเจองูนะ กลัวเขาจะตกใจไปด้วย เลยเนียนชวนคุยกับเขาว่า ‘จะกลับแล้วเหรอคะ ขอเดินลงไปด้วย’ ตอนที่เดินลงไปงูมันก็ไม่อยู่แล้ว
ทำไมถึงชอบตอนที่ตัวเองรู้สึกกลัวหรือได้เอาตัวรอด
ไม่ได้ appreciate (ชื่นชม) ความกลัวขนาดนั้น แต่รู้สึกว่ามันเหมือนเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เราได้ใช้เซนส์ต่างๆ ให้เราได้ทำอะไรสักอย่างและไม่นิ่งเฉย เพื่อหาพื้นที่ปลอดภัยให้กับตัวเอง
หลังจากไปเที่ยวตกลงตัดสินใจออกจากงานหรือยังทำต่อ
ไม่แล้ว หลังจากที่ได้ไปเที่ยว ตอนนั้นเราตัดสินใจว่าจะลาออกและย้ายมาอยู่ลำปาง เพื่อไปค้นหาตัวเองต่อ แต่ก็ยังมีรับงานฟรีแลนซ์อยู่บ้างเพื่อความอยู่รอด
อะไรในลำปางที่ประทับใจจนเป็นส่วนในการตัดสินใจที่อยากอยู่ลำปาง
ถ้าเป็นเรื่องที่ประทับใจแล้วสร้างแรงสั่นสะเทือนมากอยู่เหมือนกันก็คือ พี่ที่เป็นเจ้าของบ้านที่เราไปพักที่ลำปาง พี่เขาแบบดูแลเราดีมาก ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน แชร์เรื่องราวต่าง ๆ ให้กันฟังเร็วมาก ด้วยความที่เรามาคนเดียว และเขารู้จุดประสงค์ว่าเรากำลังค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ เลยได้คุยกันในเรื่องที่ส่วนตัวมาก ๆ พี่เขาเป็นคนแปลกหน้าที่เราสามารถเล่าทุกอย่างได้อย่างหมดเปลือกเลยและเข้าใจเรา ให้คำแนะนำต่าง ๆ ให้แง่คิด ทำให้เราเก็บไปนอนขบคิด
วิธีการการแต่งบ้านและการเลือกของมีความพิเศษอยู่มาก พี่เขาจะบอกว่า ‘คนเรา diy ความสุขได้ ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน เราสามารถทำให้มีความสุขได้’ เขาชอบเรียกสิ่งนี้ว่า diy of happiness เขาเล่าไปถึงความรู้สึกตอนเด็กว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนเราจะหาวิธีเล่นสนุกกับสถานที่นั้น ๆ ได้เสมอ
วันสุดท้ายก่อนที่จะนั่งรถไฟกลับกรุงเทพฯ พี่เขาตั้งใจจะไปส่งเราที่สถานีเลยขอพาไปสถานที่นึงก่อน แต่ว่าไม่บอกว่าเป็นที่ไหน เขาบอกว่าถ้าเราขึ้นไปให้เตรียมเพลงเอาไว้หนึ่งเพลง เพลงที่จะเหมาะกับบรรยากาศนั้นให้เขาฟังหน่อย เราก็แบบอะไรวะเนี่ย ไม่เคยเจอคนที่มาปฏิสัมพันธ์กันแบบนี้ มันอาจจะเป็นวิธีที่เขาใช้เทกแคร์แขกอยู่แล้ว แต่เรารู้สึกประทับใจยังไงไม่รู้
เขาพาเราขับรถขึ้นไปเหมือนจะเป็นภูเขาเล็ก ๆ ที่มีจุดชมวิวอยู่ในวัด เหมือนจุดชมวิวบนดอยสุเทพอะไรทำนองนั้น เป็นจุดที่เห็นทั้งเมืองของลำปาง มันมืดและเงียบมาก ๆ คนที่ดูแลสถานที่บอกว่าพี่เขามักจะมาที่นี่บ่อย ๆ เพราะมันเงียบและสงบดี เขาชอบขึ้นมาช่วงกลางวันเพื่อคิดงาน เขียนงานต่าง ๆและมองลงไปจะเป็นวิวเมืองลำปางที่มีแสงไฟยิบ ๆ กับภูเขาที่สโลปลงไป
ในระหว่างที่คุยกัน พี่เขาบอกว่าที่นี่คือที่ที่สบายใจสำหรับเขา แล้วถามเราว่าที่ ๆ สบายใจของเราคือที่ไหน เราบอกว่าเราชอบความเงียบและชอบไปโรงหนังคนเดียว เพราะได้โฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากที่สุด หลังจากที่เรากลับมากรุงเทพฯ พี่เขาก็ส่งข้อความสั้น ๆ มาว่า โรงหนัง + ความเงียบสงบ = ท้องฟ้าจำลอง ซึ่งเป็นการรวบรวมจากสิ่งที่เราคุยด้วยกัน พี่เขาแนะนำให้เราไปลองค้นหาสถานที่ใหม่ ๆ ไปลองอันนั้นอันนี้สิ เขาพยายามจะช่วยดึงอะไรบางอย่างออกมาจากตัวเรา เราชอบที่เขาชวนคุย มันดีมาก ๆ
ฟังดูเป็นความบังเอิญที่ดูดีมากเลยนะ
ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเจอคนที่สามารถคุยด้วยได้ และระบายสิ่งที่อยู่ในใจได้ด้วย แถมยังจุดประกายเราได้อีก เราก็แปลกใจที่ได้เจอคนแบบนี้ในพื้นที่แบบนี้ได้ ตอนแรกก็คิดว่าจะเจอแค่ชาวบ้าน อย่างมากก็ถามทางอะไรแบบนี้ แต่นี่เป็นการพยายามสร้างความสัมพันธ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้เราประทับใจ
ผ่านมาแล้ว 7 วัน อยากให้เล่าชีวิตหนึ่งอาทิตย์แรกในลำปางให้ฟังหน่อย
วันแรกเรามาถึงลำปางทุ่ม-สองทุ่ม จะออกไปหาอะไรกินกับแฟน นึกไม่ออกเลยเลือก ๆ คุ้นชินที่สุดคือห้างฯ พอถึงหน้าร้านพนักงานเดินมาบอกว่าครัวปิดหนึ่งทุ่ม เราก็หันมองหน้ากันกับแฟนแล้วคิดว่าเอาแล้ว ลำปางเล่นกูแล้ว ถ้าเป็นกรุงเทพฯ ทุ่มครึ่งยังไม่ทันได้หิวเลย บางทีสองทุ่มค่อยออกไปหาอะไรกิน
ตอนนั้นงงเลยว่าจะกินอะไรดี ลองทักหาเพื่อนที่เป็นคนลำปาง เพื่อนก็แนะนำร้านมาให้ แต่มันก็ให้ข้อมูลว่า ‘มึงต้องปรับตัวใหม่นะ เพราะร้านที่ลำปางเขาปิดเร็ว ห้างฯ ก็ปิดเร็ว สองสามทุ่มก็ปิดหมดแล้ว’ พอได้มาอยู่ที่นี่เวลานอนก็เปลี่ยนไป พอหกโมงปุ๊บกินข้าว สามสี่ทุ่มก็นอนแล้ว พอนอนเร็วมันก็ทำให้เราตื่นเช้า อยู่กรุงเทพฯ ก็คือ เก้าโมงสิบโมงยังกลิ้งอยู่ อยู่ที่นี่มันตื่นเองอัตโนมัติ หกโมงเจ็ดโมง
อย่างวันนี้ก็ประหลาดใจเหมือนกัน ตื่นมา 7 โมง อาบน้ำล้างหน้าเสร็จทำงานนิดหน่อย ดูเวลาอีกที มันแค่ 10 โมงเอง เราทำงานเสร็จไปแล้วงานนึง อดนึกถึงตอนอยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้ สิบโมงยังไม่ทันทำอะไรสักอย่างเลยจริง ๆ
เรื่องเล็ก ๆ ประจำวันเช่นการได้นอนเร็วตื่นเช้า มาอยู่ต่างจังหวัดมันพาให้เราเป็นแบบนั้นไปเอง ตื่นตามพระอาทิตย์จริง ๆ อันนี้ไม่ได้จะ romanticize ต่างจังหวัดนะ บางบ้านอาจจะตื่นสายก็ได้ แต่นี่ตื่นเพราะไม่มีม่านด้วย ตีห้าครึ่งแสงก็มาแล้ว สว่างมาก ๆไม่รู้เหมือนกันว่าแสงที่นี่มันมาก่อนกรุงเทพฯ หรือตอนเราอยู่กรุงเทพฯ เราปิดม่านเลยไม่เจอแสงเลย
อีกอย่างมันสอดคล้องไปกับอาหารการกิน ตอนอยู่กรุงเทพฯ มีของกินทั้งคืน หิวก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปเยาวราชได้ มีของกินแน่นอน แต่ที่นี่ร้านเปิดเป็นเวลาเหมือนโรงเรียน มีภาคเช้า ภาคเที่ยง ภาคเย็น คือร้านอาหารจะปิด 11 โมง ถ้าตื่นสายจะไม่ได้กินข้าวเช้า แล้วก็จะมีร้านอาหารเที่ยงที่เปิดสิบโมงปิดบ่ายสอง หลังจากนั้นก็จะเงียบ ๆ เปิดอีกทีหกโมงเย็น ปิดประมานสองทุ่ม
ข้อจำกัดเยอะกว่าในเมืองนะ แต่ทำไมถึงรู้สึกอิสระมากกว่าในเมืองล่ะ
ใช่ ๆ มันค่อนข้างจะย้อนแย้งอยู่นิดหน่อย เพราะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ ฝึกตัวเองให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราไม่ใช่จะทำอะไรก็ได้ ตอนไหนก็ได้ อยากจะส่งเสียงดังแค่ไหนก็ได้ ที่นี่เวลาจะเปิดเพลงก็ต้องลองออกไปหน้าบ้านว่าเสียงจะรบกวนเพื่อนบ้านรึเปล่า นี่คือสิ่งที่เรากังวลอยู่ในตอนนี้ เพราะคนที่นี่เขาอยู่กันแบบเงียบมาก ๆ
นี่อาจจะเป็นการฝึกตัวเอง เพราะตอนอยู่กรุงเทพฯ เราอาจจะมีอิสรภาพมากเกินไป มาอยู่ที่นี่ต้องทำอะไรเองหลายอย่าง และอยากทำให้ได้ด้วยตัวเองด้วย ถ้าเราอยู่กรุงเทพฯ เราคงไม่ได้ทำโจทย์พวกนี้ คงไม่มีทางได้ถือจอบหรือเสียมมาถางหญ้าแน่นอน ไม่ได้ทำอาหาร ขับมอเตอร์ไซค์ เจอคนใหม่ ๆ และอีกหลาย ๆ อย่าง
หลังจากย้ายมาอยู่ลำปางยังคงจะทำงานด้าน creative field อยู่ไหม
งาน creative field ในกรุงเทพฯ มันสนุกนะ ตอนได้ทำอะไรใหม่ ๆ แต่งานวาดภาพประกอบพอทำไปสักพัก เราจะไม่ค่อยได้วาดอะไรที่เราอยากจะสื่อสารจริง ๆ ทำทุกอย่างอยู่ภายใต้กรอบและโจทย์ของลูกค้า
เราอยากจะเล่าเรื่องที่เราอยากเล่าบ้าง เหมือนตอนที่เคยทำนิทรรศการของตัวเอง สื่อสารอะไรที่เป็นอิสระไม่ต้องมีโจทย์มาคลุม ความรู้สึกน่าจะคล้าย ๆ กันกับการสร้างแบรนด์ คือเราทำงานภายใต้องค์กรเพื่อผลักดันธุรกิจเขา แต่บางครั้งการทำงานในองค์กรก็อาจจะได้ไม่ตรงกันซะทีเดียว เราอยากมีส่วนร่วมและผลักดันในเรื่องที่เราสนใจและให้คุณค่า เราอยากทำอะไรเพื่อตัวเองและสื่อสารจุดมุ่งหมายของตัวเอง เราอยากจะใช้ทักษะที่มีทำสิ่งที่อยากทำที่ลำปาง
ตอนนี้มีไอเดียที่จะเริ่มทำเพจเพื่อสื่อสารลำปาง ซึ่งมันตอบโจทย์จุดมุ่งหมายของตัวเองได้ทั้งสองอย่างคือ เรื่องรายได้ที่ต้องอยู่รอด และมีความสุขด้วย
มองเห็นอะไรในลำปาง
เราได้เล่าให้พี่เจ้าของที่พักฟังหลาย ๆ เรื่องที่เราคิดว่าจะนำมาเป็นคอนเทนต์ เขาบอกว่าบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เขาไม่รู้มาก่อน เพราะอยู่ในเมืองจนชิน แต่สำหรับเราที่มาอยู่ใหม่มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ด้วยมุมมองของคนที่เข้ามาอยู่ลำปาง ยังมีธุรกิจหลายอย่างที่คนลำปางแทบจะไม่รู้จักด้วยซ้ำว่ามีอยู่ เลยคิดว่าเอาตรงนี้มาทำน่าจะสนุกดี เราว่าเวลาเราทำอะไรแล้วสนุกมันจะออกมาดี
ซึ่งเราไม่ได้บอกนะว่าจะต้องสนุกตลอดเวลา เพราะเราก็เข้าใจธรรมชาติว่าเราอาจจะเบื่อหลังจากนี้ แต่มันก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไง แต่จุดนี้มันกำลังมีไฟ ถึงอนาคตมันอาจจะไม่สนุก ก็จะลองปรับเปลี่ยนดู เพราะมันเป็นสิ่งที่เราทำขึ้นมากับมือ ไม่ได้อยู่ภายใต้ใคร หรือกรอบที่เขาตีให้ อยากทำอะไรก็ทำ
คำแนะนำสำหรับคนที่กำลังค้นหาแพสชัน
แพสชันของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันนะ อยู่ที่ว่าเราจะใฝ่หาอะไร บางคนมองหาเงินเป็นพื้นฐานในการอยู่รอดในทุกวัน แพสชันอาจจะเป็นความมั่นคงทางการงาน หรืออาจจะเป็นความรัก เราต้องหาและทำความรู้จักตัวเอง ว่าอยากจะทำอะไร มีจุดมุ่งหมายอะไร จริง ๆ แพสชันมันเป็นจุดมุ่งหมายและแนวทางที่เราจะไป ซึ่งแน่นอนมันเปลี่ยนได้ตลอด คนเราก็เปลี่ยนไปได้ตลอด แพสชันตอนนี้อาจจะรู้สึกว่านี่คือจุดมุ่งหมายของชีวิต พอไปอีกสักพักนึงอาจจะเปลี่ยนก็ได้ ซึ่งก็ไม่ผิด ทุก ๆ คนมีแพสชันต่างกัน แค่ต้องทำความเข้าใจตัวเราว่า เราต้องการอะไรจริง ๆ จะเป็นอะไรก็ได้ แต่เป็นสิ่งที่อยากจะทำแล้วทำ
พ่อว่ายังไงกับการตัดสินใจย้ายมาอยู่ลำปาง
พ่อเลยเป็นห่วงมาก เราออกจากงานมาสามสี่รอบแล้วเนี่ย ทำงานอะไรที่มันไม่มั่นคงเลย แล้วในท้ายที่สุดแล้วจะทำอะไร เอาตัวรอดได้ไหม เขาคงเป็นห่วงตามประสาเขา คนสมัยก่อนเขาไม่ได้มีทางเลือกในอาชีพเท่าเรา บางคนทำงานบริษัทนึงสิบยี่สิบปี เราก็อธิบายให้เขาเข้าใจว่าทุกวันนี้มันมีทางเลือกมากมาย ความมั่นคงไม่ได้อยู่แค่ว่าเราทำงานในบริษัทที่มั่นคง มันอาจจะมีความมั่นคงทางจิตใจอย่างอื่นด้วย
เหตุการณ์ที่รู้สึกดีใจมาก ๆ
น่าจะตอนที่ทำนิทรรศการเดี่ยวแล้วพ่อก็มาดูงานในวันเปิด เพราะทุกวันนี้เวลาอธิบายพ่อว่าทำอาชีพอะไร คำอธิบายมันยืดยาวมาก และก็ไม่รู้ว่าพ่อจะเข้าใจรึเปล่า ตอนนี้ทำงานอะไร จะบอกกลาย ๆ ว่าทำโปสเตอร์ โลโก้ ให้เขาเห็นภาพง่ายที่สุด จนถึงวันที่มีผลงานเป็นรูปธรรมให้เขาเห็นจริง ๆ ว่าเราทำสิ่งนี้ได้นะจากสิ่งที่เราเรียนมา หรือเราดำรงอาชีพนี้ได้ วันจัดงาน พอพ่อมาเดินดูงานแต่ก็ไม่ได้พูดคุยกันนะ เหมือนพอมันเป็นงานเป็นอีเวนต์ใหญ่ ภาพมันชัดเจนกว่า พ่อก็ดูเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มีคนมาดู มาชื่นชมงาน เรารู้สึกเหมือนมันปลดล็อกอะไรบางอย่างว่าวันนี้พ่อเข้าใจแล้ว
สถานที่ไหนที่คุณชอบที่สุด
โรงหนัง
สีที่ชอบและชอบเพราะอะไร
สมัยมัธยมถ้าต้องบอกหรือเขียนสีที่ชอบใส่เฟรนด์ชิป ทุกครั้งที่เราตอบจะเป็นสีเทา คือเราไม่ได้ชอบสีเทา เราชอบความหมายที่ว่าไม่ได้มีอะไรขาวหรือดำ เพราะเราไม่ได้ชอบอะไรที่สว่างเกินหรือมืดเกินไป ซึ่งเรามองว่าทุกอย่างก็เป็นแบบนี้แหละ เป็นสีเทา ๆ เบลอ ๆ ถ้าช่วงนี้สีที่ชอบ จะตรงกับความรู้สึกตอนนี้ด้วยและใช้ในงานบ่อย ก็คือสีชมพู ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่เคยคิดว่าจะชอบสีชมพู เพราะในความคิดมันถูกตีกรอบให้เป็นสีที่ผู้หญิงมาก ๆ สีชมพูจะเป็นสีที่ดูน่ารัก สดใส แต่พอทุกวันนี้พอเห็นสีชมพูมันรู้สึกอบอุ่นสดใส จนคิดว่าจะทาห้องเป็นสีชมพูด้วยซ้ำ